จากที่มีข่าวกระจายมาทางอินเตอร์เนตดังข้อความข้างบนนั้น
ข้าพเจ้าเป็นผู้หนึ่งที่เกิดความสงสัยต่อเรื่องดังกล่าว
จึงขึ้นไปตามล่าหาความจริง
เรื่องย่ายิ้ม
หญิงชราที่ผูกพันกับผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ ย่ายิ้มย้ายเข้าไปอยู่ในหุบเขาที่แวดล้อมด้วยต้นไม้นานาชนิดคนเดียวกลางป่าลึกเกือบ
20 ปี มาแล้ว ข้าพเจ้าสงสัยว่าอะไรเป็น
สิ่งดลจิตของเธอที่ทำให้เธอสร้างฝายขึ้นมา ทีละฝาย ๆ ได้มากมาย ประมาณ ปีละฝาย รวมแล้วประมาณ 14 ฝาย ซึ่งบ้านที่เธออาศัยอยู่ อยู่ลึกเข้าไปมากมายเป็นที่น่าสนใจไม่น้อย
กับความสมถะและความชราที่รู้คุณแผ่นดิน เธอเล่าว่า
วันหนึ่ง เธอได้ดูพระราชดำรัสของในหลวงเรื่องผืนป่า การกั้นน้ำไว้ใช้
การสร้างฝ้ายเพื่อให้ใครก็ได้ ได้ประโยชน์ สัตว์ คนที่เดินผ่าน หรือต้นไม้
เป็นที่น่ายินดีที่เธอสร้างมานานจนได้ถึง11ฝายแล้วในปลายปี 2553 ก่อนที่รายการคนค้นคนจะไปพบเธอเข้าในกลางปี
แล้วผลิตรายการช่วงปลายปี
พระอาจารย์เคยเล่าว่า
พอถึงวันโกน เธอจะต้องเดินผ่านป่าเขาบนหนทางขรุขระเป็นระยะทางถึง 7 กิโลเมตร เพื่อจะมาทำวัตรสวดมนต์
ถือศีลที่ธรรมสถานสุวรรณาภาอันเป็นสถานที่ปฏิบัติใกล้ ใกล้บ้านเธอที่สุด
เธอเดินมาอย่างนี้ ตั้งแต่เริ่มแรกก่อตั้งธรรมสถาน และรู้จักกันดีในนามย่ายิ้ม
หญิงชราใจดีจอมทรหด ไม่เพียงแต่เท่านั้น เธอยังเดินขึ้นเขาไปกับศิษย์สุวรรณโคมคำเพื่อไปสักการะบูชาบูรพาจารย์องค์
สำคัญต่างๆ ด้วย การเดินทางของคณะศิษย์เพื่อไปร่วมบุญกับพระอาจารย์มีมาอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งปลายปี 2553 ที่ได้เกิดความไม่เข้ากันใจระหว่าง
ศิษย์บางกลุ่ม กับพระอาจารย์ขึ้น
การเดินทางเพื่อไปปฏิบัติธรรมต่างๆจึงหยุดชะงักลงเป็นอันมาก
ทางเดินไปมาระหว่าง
บ้านย่ายิ้มกับหุบเขาสุวรรณโคมคำ ไม่ใช่ธรรมดา เรียกได้ว่า ถ้าเอารถดี ๆ
ขึ้นไปหาย่ายิ้ม ก็พังหมด
เพราะทางมันสุดแสนวิบากรถอีแต๋นเป็นรถที่เหมาะสมที่สุดในการเดินทางไปหาย่ายิ้ม
หลังจากข่าวย่ายิ้มได้ออกผ่านหน้าจอโทรทัศน์ และ youtube แล้ว ย่ายิ้ม ก็มีคนจากทั่วสารทิศ ไปหา
เพราะอยากไปเยี่ยมเยือนสนทนา
ย่ายิ้มมีฝันที่จะสร้างศาลากัมมัฎฐานเล็กๆหรืออะไรก็ได้ที่เธอต้องการทำผู้คนก็จะร่วมมือ ซึ่งเรืองนี้ก็เป็นที่น่ายินดี
พระอาจารย์ส่งลูกศิษย์ไปขู่ฆ่าย่ายิ้มจริงหรือ
หรือเป็นการปล่อยข่าวลวงโลก
เพื่อแก้ต่างเรื่องย่ายิ้มไม่ยอมลงมาถือศีลในสุวรรณาภา
แถมเป็นการป้ายสีพระอาจารย์ได้ง่ายๆอีกทางหนึ่ง ?
หลังจากนั้น เมื่อย่ายิ้มได้รับเชิญไปที่ไหน ๆ ก็ตาม
จะมีคนคอยดูแลย่ายิ้มเพื่อรักษาประโยชน์ให้ย่ายิ้ม
(หรือผลประโยชน์ของใครก็ไม่รู้)จนวันหนึ่ง มีคนไปรับย่ายิ้มให้มาร่วมถวายเทียนพรรษาของสุวรรณาภาโดยคนกลุ่มหนึ่งที่มาจากมูลนิธิฯ(กทม.)
แล้วข่าวไม่สู้ดีก็มีออกมา ว่าพระอาจารย์ส่งลูกศิษย์ ไปขู่จะฆ่าปาดคอ !!! ย่ายิ้ม
ข้าพเจ้าฟังแรก ๆ ก็อดขำไม่ได้
ว่าช่างสรรหาเรื่องราวมากล่าวโจมตีพระอาจารย์กันถึงได้มากเพียงนี้หนอ แต่เมื่อคิดให้รอบคอบขึ้น
น่าจะมีนัยยะแอบแฝงมากกว่า ก็ต้องลองไปหาความจริงดู จึงขึ้นไปพบย่ายิ้มด้วยตัวเอง
ถามเรื่องราวการกระพือข่าวอันน่าสังเวชของคนที่กล่าวว่าเป็นศิษย์
ซึ่งไม่น่าเรียกว่าศิษย์แล้วขณะนี้
เพราะกล่าวร้ายต่อครูบาอาจารย์ที่เคยสอนสั่งได้มากถึงขนาดนี้อย่างไร้มโนธรรม
ข้าพเจ้าได้ขึ้นไปพบย่ายิ้มด้วยตนเอง
เพื่อถามความจริงว่า ย่ายิ้มโดนขู่ฆ่าหรือเปล่า คำตอบคือเปล่า
ย่าไม่เคยโดนใครขู่ฆ่าเลย แล้วข่าวมาจากไหน จุดประสงค์เพื่ออะไร การกระทำเช่นนี้คุณจะเรียกว่าเป็นอะไร
ข้าฯไม่อยากคิดเลย ว่าผลแห่งกรรมที่ได้กระทำต่อครูบาอาจารย์ที่เคยสอนตนมานั้น
จะปรากฏเช่นไร ผู้อ่านลองคิดเอาเองก็แล้วกัน ไม่ต้องบอกข้าพเจ้า ก็ได้
ย่ายิ้มยังบอกต่ออีกว่า
ก็ย่าบอกทีมถวายเทียนไปแล้วมิไช่หรือว่า ที่ไม่ได้ไปลงถือศีลที่สุวรรณาภา
เพราะเดี๋ยวนี้ที่นั่นไม่ได้ประกอบกิจกรรมทางศาสนาใดๆเลย
แล้วย่ายิ้มก็ไม่อยากเดินทางไปอยู่ถือศีลคนเดียวในสถานที่รกร้างเปล่าเปลี่ยวเช่นนั้นเพราะท่านกลัวผีด้วยอีกประการหนึ่ง
นอกจากนี้ย่ายิ้มยังกล่าวชมพระอาจารย์อีกมากมายด้วยสีหน้าแววตาที่ชื่นชมพระอาจารย์อย่างจริงใจเพราะรู้จักพระอาจารย์มานานถึง
7 ปีแล้วกับความเสียสละที่มุ่งมั่นสม่ำเสมอ ฯลฯ
ของพระอาจารย์แล้วกล่าวถึงสุวรรณาภาในปัจจุบันด้วยท่าทีที่เศร้าสลดเป็นอันมากด้วย
พร้อมกันนี้ย่ายิ้มยังได้ขอเอกสารโจมตีพระอาจารย์ไว้ด้วยและอาสาอย่างแข็งขันเองว่าถ้าใครขึ้นมาพบย่ายิ้มย่าจะช่วยตอบยืนยันและอธิบายความจริงให้กระจ่างทุกคนไปย่าเข้าใจดีย่าก็เคยถูกหาว่าเป็นผีป่าบ้าง
พวกค้ายาบ้าบ้าง พวกสายคนตัดไม้เถื่อนบ้างฯลฯ
เพราะย่ายิ้มเองก็ถูกกล่าวร้ายโจมตีมามากมายกว่าจะถึงวันนี้ เกือบ 20
ปีที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวกลางป่าคนเดียวจนมีคนเข้าใจและยอมรับในที่สุดอย่างในปัจจุบัน
ใครอยากได้ ยินกับหู ดูกับตาก็ขึ้นไปหาย่ายิ้มได้เสมอ
ย่ายินดีพูดความจริงให้ฟังทุกวันเพราะความจริงจะพูดกี่ครั้งก็ตรงกันเหมือนเดิม!
บทสรุป
เรื่องย่ายิ้ม
หวังว่าข้อความนี้ คงเป็นที่เข้าใจ ว่าเรื่องที่พยายามสร้างขึ้น
เพื่อโยนความเลวทั้งหลายไปให้พระอาจารย์นั้น
เพราะต้องการสร้างภาพให้ความเลวทั้งหลายปรากฏขึ้นกับพระสักรูปหนึ่งแทนตน
ซึ่งนี่แหละที่เป็นต้นเหตุของภัยพิบัติที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ ดีหรือชั่ว
เราก็ไม่มีสิทธิ์เอาชื่อพระ หรือใครมาโพนทนา นอกจากเขาคนนั้น คงต้องมีชนักติดตัว
ที่หากเรื่องของเขาเปิดเผยขึ้นมาแล้วเขาคงเสียชื่อ(จึงต้องโยนบาปไปให้คนอื่น)
ซึ่งได้เค้าเรื่องมาเช่นกัน
เรื่องการรับบิณฑบาต ปัจจุบัน พระอาจารย์ ประจำอยู่ในพื้นที่ข้างๆสุวรรณาภา
ซึ่งจะพัฒนาเป็นสำนักสงฆ์ต่อไปในอนาคต และธรรมสถาน
สุวรรณาภา ที่ถูกพัฒนาเป็นสถานปฏิบัติธรรมสำเร็จอย่างดีแล้ว
บัดนี้รกรุงรังขนาดหนัก มีพระชรารูปหนึ่งอาศัยอยู่
ญาติท่านบอกว่าท่านชราภาพมาก ออกบิณฑบาตและทำกิจสงฆ์ไม่ได้ ซึ่งน่าคิดข้อนี้เช่นกัน
ในเรื่องการออกรับบิณฑบาตของพระ เพราะพระสงฆ์ดำรงชีวิตด้วยอาหารที่ประชาชนทำบุญใส่บาตร เมื่อพระไม่ออกบิณฑบาตรท่านจะฉันอะไร
ลองคิดกันดูว่า พระชราประจำสุวรรณาภา
ท่านชราจนทำกิจสงฆ์ไม่ได้จริงหรือ แต่ที่ข้าพเจ้าเห็น
ท่านยังได้รับใช้ฆราวาสตามคำสั่งต่าง ๆ เช่น นำควายไปกินหญ้า ขุดดิน หวดหญ้า
ฯลฯ ท่านยังเดินได้อย่างคล่องแคล่ว
แต่ถึงคราวออกไปบิณฑบาต ท่านกลับออกไปบิณฑบาตไม่ได้สักวันเลยหรือ หรือว่ามีเหตุการณ์อะไรที่ท่านไม่อยากออกไปรับบิณฑบาตหรือเปล่า น่าคิดเหมือนกัน
พระอาจารย์ ผู้ที่ใครไม่รู้พยายามปล่อยข่าวแทบไม่เว้นแต่ละวัน(ซึ่งแม้แต่ในหมู่บ้าน
พระอาจารย์ก็ถูกคนท่าหนองที่รับคำสั่งจากคนใน
กทม.ให้มาปล่อยข่าวทำลายไม่เว้นวันอย่างหนักตลอดมาจนถึงปัจจุบันนี้) ได้ออกเดินรับบิณฑบาตทุกเช้า
โดยท่านไม่ได้สะทกสะท้านต่อคำพูดทั้งหลาย เพราะเป็นกิจของสงฆ์
ท่านทำกิจนี้ทุกวันยกเว้นวันที่เดินทางเข้ากรุงเทพฯ พระอาจารย์ได้ข้าวเต็มบาตรจนล้นบาตร
ต้องถ่ายข้าวออกสองสามครั้งทุกวัน มีอาหารมากเพียงพอกับตนเองและบริวารอีก 6-7 ชีวิต ซึ่งชาวบ้านต่างแปลกใจกันอย่างมากว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่เคยมีพระรูปไหนรับบิณฑบาตรได้อาหารใส่บาตรมากเท่ากับพระอาจารย์มาก่อนเลย เป็นเพราะศรัทธาที่เกิดขึ้นต่อพระอาจารย์ เนื่องจากได้เห็นคุณธรรมและความเสียสละรวมทั้งปฏิปทาอันมั่นคงตลอด
7 ปี ที่ผ่านมาของพระอาจารย์กับตาตัวเองนั่นเอง
ก่อนหน้านี้ก็มีพระที่ประจำอยู่สุวรรณาภาก็ได้รับบิณฑบาตแค่พอฉันมื้อเช้าได้เท่านั้นเอง
พอตกเพล ฆราวาสก็ต้องหุงหาถวาย เป็นเช่นนี้ตลอดมา จึงเป็นที่เข้าใจได้อย่างชัดเจนว่า
การบิณฑบาตนี้เกิดจากศรัทธามหาชนของจริง
เมื่อพระอาจารย์เดินทางเข้ากรุงเทพ
ท่านก็ออกเดินรับบิณฑบาตโปรดญาติโยมในย่านสาธร-สีลม-บางรักเหมือนเดิม และดูเหมือนประชาชนจะคิดถึงท่านมากกว่าเดิม เพราะอาหารที่ใส่บาตรยิ่งมีมากกว่าปี2553 ตอนก่อนจะมีเรื่องให้ท่านสะเทือนใจเสียอีก เราเชื่อว่าท่านมีมารผจญเพราะบารมีใหญ่กำลังจะเกิด
หรือไม่ท่านก็กำลังทำกิจที่สำคัญอย่างใหญ่ยิ่งอยู่จึงมีอุปสรรคมากมายนัก ใครคนหนึ่งบอกข้าพเจ้า
ว่า บารมีธรรมจะยกระดับเมื่อเหล่ามารมากันหนัก
เรื่องไม่เป็นเรื่อง
เรื่องหนึ่งที่ดูเหมือนไม่เป็นเรื่อง
แต่ก็สร้างความเสื่อมเสียได้เช่นกัน ทั้งนี้มันบอกถึงภูมิธรรมที่มีในใจคน ที่ได้เล่าเรียนเป็นศิษย์แห่งสุวรรณโคมคำก็จริง แต่ธรรมะไม่ได้เข้าไปอยู่ในจิตใจเขาเลย
คอยจ้องหาโอกาสที่จะทำลาย แม้นกระทั่งครูบาอาจารย์ที่เคยสั่งสอนตนมา กิเลสตัณหาของมนุษย์ที่ไม่มีธรรมะเข้าไปอยู่ในใจ
ยากนักที่จะเยียวยาอะไรได้ ด้วยสาเหตุเช่นนี้เองที่พระศรีศรัทธาฯ ท่านจึงผนวกพระอภิธรรมเข้าไว้คู่กับคัมภีร์ คนผู้ใดจะเรียนวิชาแห่งคัมภีร์สุวรรณโคมคำ
ต้องเรียนกสิณกรรมฐานก่อนเพื่อจะได้รู้จักข่มอารมณ์ ข่มกิเลสตนไว้ ไม่ให้เผยอหน้ามาสร้างความเสื่อมเสียให้แก่ตนหรือส่วนรวมฉะนี้
ก็อย่างที่พูดไว้ตรงหัวข้อ
แค่ข้าวต้มมัดถุงเดียวก็ช่างเป็นเรื่องเอามาโจมตีท่านได้ ลองฟังไปนะ
เรื่องก็มีอยู่ว่าพระอาจารย์ออกบิณฑบาตรตามปกติ
แล้วชาวบ้านคนหนึ่งเอาข้าวต้มมัดฝากมาถวายพระชราที่ประจำในสุวรรณาภา
พระอาจารย์ก็รับอาหารนั้นมาให้จนส่งถึงพระในสุวรรณาภาแล้วเป็นที่เรียบร้อยดี
ตอนนี้แหละที่มีคนเอาไปโจมตีท่านว่า ไม่ส่งมอบอาหารแค่ข้าวต้มมัดถุงเดียวนี้ให้พระชรา พระอาจารย์กลับฉันเสียเองหมดเพื่อเป็นการรังแกพระชรา
ซึ่งเรื่องนี้เป็นไปได้หรือ ? เมื่อข้าพเจ้าได้เข้าไปสอบถามความจริงกับพระชราๆก็ตอบว่า
บอกแล้วว่าได้รับแล้วๆทำไมเขาจึงได้เอาไปพูดกันอย่างนั้น เรื่องจริงๆคือ
ตอนนั้นหลวงตาท่านไม่อยู่ที่กุฏิ เพราะท่านนำควายไปเลี้ยงอยู่ เมื่อนำอาหารไปให้หลวงตา
ไม่เจอที่กุฏิ จึงได้วางไว้ให้ที่ระเบียงหน้ากุฏิ
แล้วก็ได้เดินไปบอกหลวงตาจนได้รับทราบด้วยดีแล้วในช่วงเช้านั้นแล
เรื่องก็เรียบร้อยดี ไม่มีปัญหาอะไรเลย จะเห็นได้ว่าความจริงไม่ได้เป็นดังคำที่กล่าวร้ายมานั้นเลยสักนิด
คิดว่า
น่าจะเป็นวิธีการของคนที่มีเจตนาที่จะโจมตีท่านโดยปล่อยข่าวลวงโลก เพื่อให้ท่านเสียหายเพียงอย่างเดียว
ก็มิใช่ แต่ยังมีเจตนาที่จะกลบเกลื่อนความบกพร่องของพวกตน เช่น
หาพระดีมาอยู่สุวรรณาภาไม่ได้ อีกด้วย เป็นต้น เรียกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นก 2 ตัว หากต้องการพิสูจน์ความจริงทั้งเรื่องย่ายิ้ม
และเรื่องพระชรา ก็เป็นเรื่องที่ได้พิสูจน์แล้วว่า
เลื่อนลอยไร้ความจริง พระอาจารย์ไม่ได้ประพฤติหยาบช้าดังคำกล่าวหาเหล่านั้นเลย
ข้าพเจ้าถามพระอาจารย์ว่าเหตุใดท่านจึงมีวิบากกรรมของสุวรรณโคมคำมากเช่นนี้ เช่น เรื่องราวที่ถูกใส่ร้าย
ฯลฯ ท่านตอบว่าครูบาอาจารย์บอกว่า ในสมัยพระศรีศรัทธาฯนั้น พระองค์ได้รบพุ่งเพื่อป้องกันแผ่นดินพระพุทธศาสนาไว้ชนิดเลือดท่วมกีบม้าเลย ท่านเน้นย้ำว่าเลือดท่วมกีบม้า คนที่โดนฆ่าตายสมัยนั้นมากเท่าไรลองคิดประมาณเอาเองแล้วกัน กรรมนั้นก็เฉกเช่นเดียวกันในเรื่องที่สานต่อเจตนารมณ์พระศรีศรัทธาฯ
คนเหล่านั้น ก็ต้องตามมาเป็นปัญหาอุปสรรคอันมากมายให้ท่านต้องประสพเช่นเดียวกัน
จากตัวอย่าง 2 เรื่องนี้
จะเห็นว่าความจริงนั้นตรงกันข้ามกับข่าวที่ถูก”ปล่อย” ออกมาเลย แล้วตลอด 1 ปีกว่าๆที่ผ่านมากับข่าวลืออันแสนเลวร้าย(วิธีเดียวกันนี้)พระอาจารย์ท่านทนได้อย่างไรโดยไม่ละทิ้งอุดมการณ์เลยสักนิด...สงบ...มั่นคง
ยิ่งนัก ท่านบอกว่า
ก็ต้องขอบคุณอุปสรรคเหล่านั้นด้วยที่ทำให้อาตมาได้บำเพ็ญบารมีให้ยิ่งๆขึ้นไปอีก
และทำให้อาตมาได้มาอยู่ประจำในหุบเขาที่อาตมาเคยอยู่เคยตายนี้ตามตั้งใจเสียที ขอบคุณมาก(ที่จริง
พระอาจารย์ท่านตั้งใจไว้ 2-3 ปีแล้วว่า
ถ้าเพลาภาระจากสุวรรณาภาแล้วท่านจะสร้างสำนักสงฆ์ขึ้นในหุบเขาแห่งนี้ด้วยเพื่อเป็นการทำให้สุวรรณโคมคำและพระพุทธศาสนายิ่งมั่นคงขึ้นอีกทางหนึ่ง
และเมื่อเพลาภาระงานทางกทม.แล้วท่านจะมาอยู่ประจำคอยดูแลสร้างทำด้วยตนเองทั้งชีวิต)
ตอนนี้อาตมามีความสุขดีเป็นอย่างมาก ศิษย์สุวรรณโคมคำ “ทุกคน
”(ทั้งที่รักและชังพระอาจารย์)ไม่ต้องเป็นห่วง
อาตมาอธิษฐานบุญไปให้ทุกคนเสมอ และอาตมามีความสุขดี
กำลังมุ่งบำเพ็ญกัมมัฎฐานท่ามกลางธรรมชาติในหุบเขานี้
มันช่างสงบสุขสวยงามปลอดโปร่งอย่างกับได้อยู่ในสวรรค์เลยล่ะ สบายใจได้ไม่ต้องห่วงอะไรนะ