วันพุธที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2556

ความคืบหน้าล่าสุด(ในศาล)


ความคืบหน้าล่าสุด(ในศาล)

ดูเหมือนว่าข่าวคราวที่ออกมาหลังๆนี้ จะไม่ได้พูดเรื่องความคืบหน้าในศาลสักเท่าไหร่นัก แต่แท้ที่จริงแล้วข่าวคราว/ความเป็นไปแทบทั้งหมดทั้งสิ้นที่ถูกตีแผ่ออกมาเหล่านั้น เป็นความคืบหน้าที่ได้มาจากการฟ้องคดีนั่นแหล่ะ ที่จริงตั้งแต่เกิดเรื่อง(ใส่ความ)พระอาจารย์ๆไม่เคยได้รับความเป็นธรรม/ความยุติธรรมอะไรเลย ตรงกันข้ามกลับเจอแต่เรื่องใส่ความเท็จอย่างต่อเนื่อง เจอแต่ความอันธพาล เจอแต่พวกอธรรม ไม่อาจทำความเป็นจริงใดๆให้ปรากฏตามจริงอย่างยุติธรรมได้เลย จนในที่สุดพระอาจารย์จำเป็นต้องพึ่งกระบวนการศาลสถิตยุติธรรม นั่นแหล่ะความเป็นจริงจึงได้เริ่มปรากฏขึ้น แต่พวกคนพาลก็พยายามอย่างที่สุดที่จะบิดเบือน/เตะถ่วงกระบวนการทางศาลนี้ทุกวิถีทางเพราะรู้แน่ว่า ถ้ากระบวนการนี้ดำเนินไปจนครบถ้วนถึงที่สุดแล้วละก็ พวกเขาพินาศตลอดชาติแน่ๆ(เพราะความจริงจะถูกเปิดเผยหมดสิ้น+ติดคุกด้วย) พวกเขาอาศัยเล่ห์กลของเขา+อาศัยความเมตตา/ความใจอ่อนของพระอาจารย์เตะถ่วงกระบวนการเรื่อยมา ปกปิดความจริงบิดเบือนหลอกลวงชาวสุวรรณโคมคำเรื่อยไป ว่าทุกอย่างถูกต้องเรียบร้อยแล้ว(เพราะมูลนิธิสุวรรณโคมคำอยู่ในมือเขาแล้ว) แต่แท้จริงแล้วสุวรรณาภากลายเป็นธรรมสถานร้าง เป็นแหล่งส่งยาและซ่องสุมตัดไม้เถื่อน(ของพวกเขา) รกร้าง ทรุดโทรมสุดๆ สิ่งของต่างๆถูกพวกเขาแอบขนเอาไปขายเกือบหมดแล้ว มูลนิธิฯที่ทำทีไปเช่าตึกเปิดสอน ก็เปิดสอนวิชาสุวรรณโคมคำเก๊ไว้บังหน้าแค่ก๊อกๆแก๊กๆสัปดาห์ละ1-2วันเป็นอย่างมาก แต่ละครั้งแทบไม่มีนักเรียน/ครูสอนเลย ส่วนใหญ่ถูกปิดตายไม่มีการเรียนการสอนทั้งสัปดาห์/ทั้งเดือน บัญชีมูลนิธิฯก็ถูกล้างผลาญ ยักยอกไปใช้เป็นของส่วนตัวเสียสิ้น ไม่เว้นแม้แต่เงินทุนจดทะเบียนก่อตั้งมูลนิธิฯ พวกเขาได้แต่อาศัยเล่ห์ลิ้นหลอกลวง อวิชชามนต์ดำ(โม้)น่าตื่นเต้น อวดคุณวิเศษจอมปลอมและคนห่มผ้าเหลือง(ที่ขาดความเป็นพระแล้ว)แต่แต่งภาพเก่งทำเวปเก่ง มาสร้างภาพเท็จ ข้อมูลเท็จขึ้นเน็ตหลอกลวงคนไปเรื่อย ล่อลวงเงินทำบุญคนไปเข้าพกเข้าห่อตนและพวกพ้องไปเรื่อย  โดยอาศัยความเมตตาสงสารของพระอาจารย์ที่ให้เวลา/โอกาสพวกเขาเพื่อกลับตัวกลับใจ ก่อกรรมทำเข็ญไปเรื่อย.......คนชั่วร้ายพวกนี้ไม่มีวันกลับใจหรอกพระอาจารย์ !!!
พวกเราชาวศิษย์สุวรรณโคมคำติดตามข้อเท็จจริงเรื่องนี้ตลอด พวกเราไม่ใช้กระแส ไม่ใช้อารมณ์ความรู้สึกทึกทักเอาเองอะไรทั้งนั้น พวกเราติดตามจริง ดูของจริง พิสูจน์จริง คลุกคลี+เจาะลึกจริง และพวกเราไปศาล/กระบวนการของศาลประจำ ได้ยินกับหูเห็นกับตา ข้อมูลความเป็นจริงจริงๆถูกเปิดเผยแจ่มแจ้งชัดเจนมากโดยกระบวนการศาล ทรงความยุติธรรม ธาตุแท้ของคนดี/ชั่ว บัณฑิต/พาล ถูกเปิดเผยสิ้นไส้ เหตุการณ์ในศาลกับเรื่องราวภาพลักษณ์ที่พวกแก๊งมูลนิธิฯแสดงออกต่อหน้าคนในสังคม/ที่สาธารณะ ต่างกันราวฟ้ากับเหว
ที่จริงความคืบหน้าในศาลชัดเจนหมดแล้ว ล่าสุด กรรมการมูลนิธิฯบางคนที่ถูกอ้างว่าเข้าร่วมประชุม(แอบ)ปลดพระอาจารย์ โดยมีองค์ประชุมครบตามระเบียบข้อบังคับของมูลนิธิและอยู่กันพร้อมหน้า ซึ่งได้มีมติให้ปลดพระอาจารย์ออกอย่างเป็นเอกฉันท์ เพราะพระอาจารย์ชั่วร้าย

                                                            2                                                                                                                                        
สารพัดนั้น ก็ทำหนังสือส่งมายืนยันต่อศาลอย่างเป็นทางการชัดเจนแล้วว่า เขาไม่เคยรู้ ไม่เคยเข้าร่วมประชุมหรือมีมติอะไรที่ว่านั้นแต่อย่างใด พวกแก๊งมูลนิธิ(ที่ก่อเรื่อง)โกหกกันเอาเองทั้งนั้น เป็นการกระทำที่มิชอบและขัดต่อกฎระเบียบของมูลนิธิฯ แล้วยังทำมติเท็จ+ทำเอกสารเท็จไปยื่น(หลอกลวง)ราชการเพื่อปลดพระอาจารย์อีก ผิดกฎมูลนิธิฯ ผิดหลักราชการ ผิดกฎศีลธรรม ต่ำช้า ฯลฯ มีโทษร้ายแรงทางกฎหมายและทำลายทุกสิ่งของชาวสุวรรณโคมคำ อันเป็นสมบัติทรงคุณค่าของชาวพุทธ ฯลฯ
                เท็จทั้งนั้น เรื่องวัดยานฯที่เขาอ้างถึงก็เท็จ(ทางวัดทำเอกสารยืนยันเพื่อปฏิเสธข้อกล่าวอ้างของแก๊งมูลนิธิอย่างชัดเจนแล้วเช่นกัน) เรื่องการประชุม การลงมติของมูลนิธิก็เท็จ เรื่องกุข่าวใส่ความว่าพระอาจารย์ฮุบเงินสร้างแท็งก์น้ำบ่อบาดาล พระอาจารย์ขโมยเงินทุนจดทะเบียน พระอาจารย์ชั่วร้ายสารพัดฯลฯ ก็เท็จทั้งสิ้น(ที่จริงพวกเขาต่างหาก เมื่อได้มูลนิธิไปแล้วกลับฮุบเงินแท็งก์น้ำฯและขโมยเงินทุนจดทะเบียนฯลฯของมูลนิธิเสียเองฯลฯ) ข้อมูลหลักฐานความเป็นจริงฯลฯของเรื่องต่างๆเหล่านี้ถูกเปิดเผยออกมาชนิดไร้ข้อกังขาแล้วในศาล พระอาจารย์ท่านก็จำเป็นต้องทยอยฟ้องพวกนั้นเพิ่มขึ้นทีละคดีๆ (ตามข้อมูลหลักฐานการทำชั่วของพวกเขาที่มีอยู่อย่างมหาศาล และมีเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆซึ่งตอนนี้พวกมูลนิธิฯหมดทางสู้ทุกทางแล้วเพราะจำนนต่อหลักฐานจนหมดสิ้น ขืนสู้ก็ต้องติดคุกยกแก๊งกันหมดแน่ๆ) เพื่อให้มูลนิธิถูกมอบกลับคืนมาอยู่ในสายขาว จะได้จบเรื่องกัน(อย่างสันติ)ซะที เพราะเมื่อเป็นเช่นนั้นพระอาจารย์จะยกโทษให้คนพาลเหล่านั้นและยุติคดี
            แต่พวกเราชาวสุวรรณโคมคำไม่เห็นด้วยที่จะยกโทษให้คนเหล่านั้น ขอให้พระอาจารย์ดำเนินคดีทั้งหลายให้ถึงที่สุดเพื่อดำเนินการไต่สวนเปิดโปงและนำคนผิดมาลงโทษให้หมด มิให้เป็นเยี่ยงอย่างสืบไป ไม่ว่าจะเป็นอดีตกรรมการมูลนิธิชุดแรก ชุดเก่าหรือชุดไหนๆที่โลภโมโทสัน หรือผู้ถวายที่ดินที่ใจบุญจอมปลอมมีเจตนาแอบแฝงและชักใยอยู่เบื้องหลังไม่จบไม่สิ้น ดำเนินคดีให้ถึงที่สุดไปเลย พวกคนชักใยและพวกคนร่วมมือ/สนับสนุนการทำชั่วทั้งหลาย จะได้ถูกเรียกมาไต่สวนเอาผิดทางกฎหมายด้วยจนสิ้นซาก  เพราะพวกแก๊งมูลนิธิฯไม่ยอมติดคุกเพียงลำพังแน่ บัดนี้พวกเขาได้ทำหนังสือระบุรายชื่อผู้เกี่ยวข้องร่วมขบวนการกับพวกเขาส่งให้ศาลแล้วจำนวนมากเพื่อให้ศาลเรียกตัวมาไต่สวนเป็นพยาน(ร่วมขบวนการ)แก่พวกเขา เมื่อเป็นเช่นนั้นพระอาจารย์ก็จะต้องฟ้องคดีเพิ่มไล่เรียงตัวกันไปเลย ไม่เว้นใคร(ตามหลักกฎหมาย) ที่ผ่านมาพระอาจารย์ไม่ยอมพูดว่าใครบ้างที่ทำร้าย/ทำชั่วต่อสุวรรณโคมคำตั้งแต่เริ่มก่อตั้งไล่เรียงเรื่อยมา เพราะสงสารคนเหล่านั้น พระอาจารย์จึงได้แต่นิ่งและแบกภาระตามลำพังตนมาตลอด “อย่าไปอยากรู้ความชั่วของใครเขาเลย ตั้งใจทำความดีกันดีกว่า” พระอาจารย์มักตอบบ่ายเบี่ยงเช่นนี้
            ครั้งนี้ถ้าถูกถามในศาลพระอาจารย์ก็ต้องตอบตามความเป็นจริงให้หมดละ จะนิ่งเพราะสงสารคนชั่วไม่ได้อีก คราวนี้ละพวกคนชั่วจะได้ถูกเปิดโปงสาวไส้ลากเรียงตัวกันมารับการไต่สวน+ลงโทษให้หมด จับพวก

3
นั้นมาติดคุกให้หมด ไม่ว่าผู้ก่อการ ผู้ร่วมมือสนับสนุนหรือผู้ชักใยบงการอยู่เบื้องหลังก็ตาม จับมาลงโทษทางกฎหมายเสียให้หมดสิ้นซากกันไปเลย แม้ต้องไต่สวนดำเนินคดีกันนานแค่ไหนก็คุ้ม สุวรรณโคมคำเราจะได้สูงขึ้นและมีสันติสุขเจริญรุ่งเรืองยังประโยชน์ยิ่งใหญ่ให้บังเกิดแก่มหาชนและสรรพชีวิตได้อย่างยั่งยืนแท้จริงกันซะที...สาาธุ  ประวัติศาสตร์สุวรรณโคมคำจะได้บันทึกความจริงไว้อย่างถูกต้องโดยมีคำตัดสินของศาลเป็นเครื่องยืนยันไว้ให้แน่นหนามั่นคง อย่าให้พวกเราชาวสุวรรณโคมคำต้องได้อับอายขายหน้ากันไปตลอดประวัติศาสตร์เลย
ขอเชิญชวนเพื่อนพ้องน้องพี่ชาวสุวรรณโคมคำและชาวพุทธทั้งหลายช่วยกันตั้งจิตอธิษฐาน ขออย่าให้พวกแก๊งมูลนิธิฯคืนมูลนิธิฯให้แก่ทีมงานพระอาจารย์เลย การไต่สวนจะได้เกิดขึ้นจนตลอดกระบวนการให้แจ่มแจ้งแดงแจ๋กันไปเลย คนชั่วติดคุกๆๆคนดีเจริญรุ่งเรือง สาธุๆ
            ถ้าใครอยากเห็นหน้าค่าตาพวกแก๊งคนชั่วหลอกลวงประชาชนและปล้นสุวรรณโคมคำ รวมถึงผู้ร่วมก่อการและสนับสนุนการทำชั่ว ทำลายพระพุทธศาสนา เนรคุณใส่ความฆ่าครูบาอาจารย์เพราะความโลภโมโทสัน ไร้ยางอายแล้วละก็ ไปดูได้ที่มูลนิธิในหมู่บ้านทวีสุข แถวๆหน้าวัดใหม่พิเรนทร์ครับ หรือสนใจจะไปฝากตัวเป็นศิษย์พวกเขาก็ได้นะครับ เขาจะมีงานไหว้ครูกันวันที่ 7 ก.พ.และ 3 มี.ค.56 นี้ครับ พวกเขารอเหยื่อรายใหม่อยู่จนน้ำลายไหลแล้วครับ รอจนน้ำตาไหลพรากๆแล้วด้วย เพราะพวกเขาแทบหลอกใครไม่ได้อีกแล้วครับ ขาข้างหนึ่งของพวกเขาก็ก้าวเข้าไปในคุกแล้วด้วย ฮือๆๆ.....

เวรกรรมมีจริงครับ
กรรมใดใครก่อ     กรรมนั้นย่อมตอบสนอง

ป.ล. ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม/ร่วมแชร์ ได้ที่
                Facebook  มูลนิธิกับสุวรรณโคมคำ             
                Facebook  ชมรมศิษย์สุวรรณโคมคำ

สรุปข่าวคดี ปี 55


สรุปข่าวคดี ปี ๕๕
สุวรรณโคมคำ
จากเหตุร้ายแรงที่เกิดขึ้นแก่สุวรรณโคมคำ ตั้งแต่ ปี 2553 จวบจนถึงบัดนี้ ปี 2555 ก็เป็นเวลาร่วม 3 ปีแล้ว สิ่งหนึ่งที่ชาวสุวรรณโคมคำแทบทุกคนไม่เคยรู้ก็คือ พวกแก๊งมูลนิธิ ฯ นอกจากปล่อยข่าวทำลายพระอาจารย์อย่างร้ายแรงสาดเสียเทเสียไปทั่วในหมู่ชาวสุวรรณโคมคำและชาวพุทธ ตลอดจนในแวดวงโหราศาสตร์ รวมถึงในอินเตอร์เน็ตอย่างกว้างขวาง      จนวิชชาสุวรรณโคมคำอันประเสริฐเกิดภาพลักษณ์เน่าเสียเละเทะหมดสิ้นไปทั่วแล้ว เท่านั้นยังไม่พอยังแอบไปประชุมกัน  ปลดพระอาจารย์ท่านออกจากตำแหน่งประธานมูลนิธิด้วย ทั้งๆที่พวกเขาก่อเรื่องและประกาศลาออกจากตำแหน่งต่อหน้าสาธารณะชนเป็นที่รู้เห็นกันเป็นจำนวนมากและสิ้นสภาพความเป็นกรรมการมูลนิธิแล้ว จนพระอาจารย์ต้องแบกมูลนิธิอย่างยากลำบากโดยลำพังแม้วิกฤติขนาดไหนท่านก็ไม่เคยทอดทิ้งให้มูลนิธิล่มสลาย แต่ระหว่างนั้นคนพวกนั้นกลับแอบไปประชุมกัน ( 30 พ.ย.53 ) ปลดท่าน อ้างว่าหาตัวท่านไม่เจอ ทั้งๆที่ตอนนั้นพระอาจารย์ท่านก็บริหารดูแลมูลนิธิอยู่อย่างเปิดเผยตามปกติ โดยคนพวกนั้นอ้างเอาเรื่องร้ายแรงที่พวกตนกุขึ้น ( ปล่อยข่าว ) ไปทั่วนั่นแหล่ะ มาผนวกกับการแอบอ้างวัดยานฯ แล้วประชุมเท็จปลดท่าน เพราะคนพวกนั้นนั่นแหล่ะที่กุเรื่องทำลายสุวรรณโคมคำเอง และลาออก ( ด้วยวาจา )จากการเป็นกรรมการมูลนิธิแล้ว สิ้นสภาพกรรมการแล้ว ( โดยมีวีดีโอบันทึกเหตุการณ์นี้เป็นหลักฐานยืนยันอย่างชัดเจนแน่นหนา )
          สิ่งที่พวกเราชาวสุวรรณโคมคำทั้งหลายยังไม่รู้ก็คือ “ คนพวกนั้น ” เขียนบันทึกรายงานการประชุมเป็นลายลักษณ์อักษร เอาเนื้อเรื่องของข่าวลือร้ายแรงสาดเสียเทเสียเละเทะที่พวกตนกุขึ้นใส่ความพระอาจารย์และปล่อยข่าวไปทั่วนั้นแหล่ะมาบันทึกจาระไนเป็นรายงานการประชุม เฉพาะรายละเอียดส่วนนี้ก็มีบันทึกบรรยายไว้ ถึง 2 หน้ากระดาษ A4 บันทึกไว้ในสาระบบของมูลนิธิสุวรรณโคมคำและยื่นส่งกระทรวงมหาดไทย บันทึกไว้ให้เป็นเอกสารราชการอย่างเป็นทางการในระบบราชการไทยอย่างถาวรตราตรึงไว้ในประวัติศาสตร์สุวรรณโคมคำและประวัติศาสตร์ไทย โดยแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ก่อความเสียหายร้ายแรงทำลายรากเหง้าของสุวรรณโคมคำอย่างโดยบริบูรณ์ตลอดกาลนานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“  เพียงเพื่อจะใส่ความ ( ป้ายสี ) พระอาจารย์  ”  และ   เพียงเพื่อผลประโยชน์ของตนและพวกพ้อง  ”
ต้องทำถึงขนาดนั้น !!!    ความโลภหนอความโลภ   กิเลสหนอกิเลส
เราชาวศิษย์สุวรรณโคมคำไปปรึกษาเจ้าหน้าที่ราชการแผนกมูลนิธิ ๆ ทุกคนยืนยันเลยว่า  ไม่เคยมีมูลนิธิไหน( ทั้งประเทศ )เขาทำกันแบบนี้ จะปลดออก ฯลฯ ก็แค่ทำหนังสืออ้างถึงกฎ/ระเบียบข้อบังคับของมูลนิธิข้อไหน แล้วปลด/เปลี่ยนจากใครเป็นใครเท่านี้ก็พอ ไม่ต้องจาระไนบรรยายรายละเอียด ( สาดเสียเทเสีย ) อะไรมา ที่พวกมูลนิธิกลุ่มนี้ทำอย่างนี้ประหลาดอย่างยิ่ง เสียหายอย่างยิ่ง มีพิรุธอย่างยิ่ง ( แท้จริง ใครเห็นใครก็รู้ทันทีว่ามีเจตนาอกุศลอะไรแฝงอยู่เบื้องหลังการกระทำเช่นนี้ ) นั่นคือการใส่ความ ฆ่า และ ฝัง พร้อมทั้งปักป้ายประจานโยนความผิด เพื่อผลประโยชน์ของตนและพวกพ้องโดยไม่สนใจอะไรอื่นทั้งสิ้น ความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่องค์กรของสุวรรณโคมคำ ฯลฯ นี้ ร้ายแรงและใหญ่หลวง ฯลฯ มากมายมหาศาล ถาวร สิ้นสูญ สิ้นกาลนาน ฯลฯ ขนาดไหน เมื่อทราบเรื่องนี้แล้วชาวสุวรรณโคมคำและชาวพุทธผู้มีปัญญาทั้งหลาย สามารถใช้วิจารณญาณหยั่งทราบได้เองโดยเราศิษย์สุวรรณโคมคำไม่ต้องบรรยายเลยใช่ไหม……..
ไม่เพียงแค่นั้น คนเหล่านั้นยังบังอาจแอบอ้างเรื่องเท็จร้ายแรงสำทับ ( คงเพื่อทำให้น่าเชื่อถือยิ่งขึ้นเพราะกลัวคนไม่เชื่อและกลัวความเสียหายแก่พระอาจารย์ยังไม่มากพอ ที่จะหลอกให้คนพากัน(คล้อยตาม)ประณามท่าน ตลอดประวัติศาสตร์ พวกตนจะได้เป็นพระเอกนางเอกตลอดไป ) เข้าไว้เป็นลายลักษณ์อักษรในรายงานการประชุมนั้นต่ออีกว่า คณะสงฆ์วัดยาน ฯ  ตั้งอธิกรณ์  ไต่สวนครบถ้วนตามกระบวนการแล้วมีมติสงฆ์ให้ (จับ) พระอาจารย์สึก ด้วยอาบัติ            “ ปฐมปาราชิก ” เมื่อวันที่ ฯลฯ ดังมีสลักหลังหนังสือสุทธิของท่านเป็นหลักฐาน
พูดซะน่าเชื่อถือขนาดนี้    ใครได้ยินก็ต้องคล้อยตามเป็นแน่ !!!
เพียงเพื่อสนองประโยชน์ของคนไม่กี่คน ( ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ) ทำลายสิ้น ความประเสริฐสูงส่ง ความบริสุทธิ์    ผุดผ่อง ความเสียสละยิ่งใหญ่ ฯลฯ ขององค์กร รวมถึงวิชชาสุวรรณโคมคำ ที่ชาวสุวรรณโคมคำและชาวพุทธทั้งหลายทุ่มเทเสียสละมาทั้งหมดในช่วงที่ผ่านมาลงสิ้นตราบเท่ากาลนาน
พระอาจารย์แม้เมื่อได้ทราบเรื่องนี้ ก็ยังสู้อุตส่าห์เมตตา ( ต่อคนพวกนั้น ฯลฯ ) และอดทน ( ทั้งที่ท่านเสียสละ เมตตา อดทน ฯลฯ มามหาศาลนับประมาณมิได้แล้วก่อนหน้านั้น ) พยายามค่อย ๆ คิดค่อย ๆ แก้ไขปัญหาใหญ่หลวงนี้แบบบัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น ( ให้สำเร็จด้วยดีให้จงได้ )เพราะไม่อยากให้เกิดภาพว่าชาวสุวรรณโคมคำทะเลาะกัน สุวรรณโคมคำและพระพุทธศาสนาจะยิ่งเสียหาย ก็เพื่อชาวสุวรรณโคมคำและชาวพุทธและสรรพสัตว์ทั้งปวง ท่านพยายามอย่างอดทนและให้อภัยด้วยความสงสารในคนเหล่านั้น
และที่จริงทางแก้นั้นยังพอมีอยู่ คือ ให้คนเหล่านั้นลาออกเสีย เปลี่ยนเป็นกรรมการในสายขาวที่พระอาจารย์คัดเลือกแล้ว จากนั้นให้กรรมการใหม่ ( สายขาว ) นั้นทำรายงาน ( บันทึก ) การประชุมสรรเสริญพระอาจารย์ ( ตามจริง )บันทึกไว้ในสาระบบของมูลนิธิสุวรรณโคมคำและยื่นส่งกระทรวงมหาดไทยตามขั้นตอน เพื่อบันทึกไว้ในสาระบบของราชการไทยสืบไปอย่างเป็นทางการเช่นกัน  ( เพราะถ้าให้กรรมการเก่าบันทึกแก้ไขเอง พวกเขาต้องติดคุกกันหมดแน่     ด้วยความผิดที่พวกเขาก่อขึ้นมาก่อนหน้านี้แหละ )
เมื่อเป็นเช่นนี้ ในอนาคตกาลภายหน้า ใคร ๆ ที่อ่าน / อ้างอิงประวัติศาสตร์สุวรรณโคมคำตามเอกสารราชการนี้     ก็จะถือเอาบันทึกครั้งหลังเป็นสำคัญ ( ตามหลักการสามัญทั่วไป ) ว่าสุวรรณโคมคำประเสริฐสูงส่ง บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ดีงาม ฯลฯ มาตั้งแต่ก่อตั้ง เพราะบันทึกครั้งแรกนับเป็นการเกิดปัญหาเข้าใจผิดกัน แต่แก้ไขได้ความกระจ่างแล้วโดยบันทึกครั้งหลังนี้ สิ้นความกังขาในประวัติศาสตร์สุวรรณโคมคำ ชาวสุวรรณโคมคำและชาวพุทธตลอดทั้งสรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงก็จะได้รับอานิสงส์ผลบุญกุศลนี้กันถ้วนหน้า ปิดฉากปัญหาวุ่นวายเรื้อรังทั้งปวงซะที ( อย่างละมุนละม่อม ) บันทึกไว้เป็นเกียรติประวัติแก่สุวรรณโคมคำว่าชาวสุวรรณโคมคำทั้งปวงสมเป็นปราชญ์ รู้ผิด รู้แก้ไข รู้อภัย แก้ปัญหาได้ด้วยสันติวิธีอย่างที่กัลยาณชนคนดีทั้งหลายพึงกระทำ สมควรเอาเป็นแบบอย่างแก่อนุชนรุ่นหลังอย่างแท้จริง
แต่แม้ว่าพระอาจารย์ท่านจะเมตตาแล้วเมตตาอีก ให้อภัยแล้วให้อภัยอีก เปิดโอกาสแล้วเปิดโอกาสอีกฯลฯ ขนาดไหนก็ตาม และแม้ฟ้อง ( คดี ) เพื่อเป็นการเตือนแล้ว พวกเขาก็ยังไม่สำนึก ไม่แก้ไข คนเหล่านั้น( แก๊งมูลนิธิ ) ก็ไม่ยอมรับโอกาสเหล่านั้น แต่กลับก่อเรื่องร้ายแรงเพิ่มเติมขึ้นมาอีกนับไม่ถ้วน เช่น ส่งหนังสือแจ้งเรื่องเท็จเหล่านี้ไปที่เจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ ฯลฯ ฝ่ายธรรมยุติที่พระอาจารย์ไปบวชอยู่ รวมทั้งให้คนตามปั่นป่วนทำลายพระอาจารย์ไปทุกที่   ไม่ว่าใน กทม.หรือพิษณุโลกหรือจังหวัดใดๆก็ตาม อย่างไร้สำนึกและไร้ความเป็นมนุษย์ก็ว่าได้ เพื่อปกปิดบิดเบือนความผิดเดิมของตนและใส่ความพระอาจารย์เพิ่มให้หนักเข้าไปอีก อย่างไร้มโนธรรม และความรับผิดชอบใด ๆ ต่อสุวรรณโคมคำและส่วนรวม
เรื่องร้ายแรงนี้เกิดขึ้นเพราะการกุข่าวขึ้นของพวกแก๊งมูลนิธิโดยแท้ จนในที่สุดแม้แต่พระเดชพระคุณหลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดยานฯ แม้ท่านไม่ใช่ชาวสุวรรณโคมคำอย่างพวกเราโดยตรง ก็ยังทนเห็นพระดี ๆ อย่างพระอาจารย์ถูกทำร้าย     ใส่ความและตามทำลายด้วยเรื่องเท็จอย่างไม่หยุดหย่อนไม่ได้ จนท่านต้องออกมายืนยันความเป็นจริงด้วยตัวท่านเอง   ด้วยการทำหนังสือรับรองตามความเป็นจริงว่า พระอาจารย์ไม่ได้ต้องอธิกรณ์อะไรและไม่ได้มีความผิดใดๆ ไม่ได้เป็นอาบัติอะไร ( พวกแก๊งมูลนิธิ )กุข่าวแอบอ้างวัดยานฯ ( เพื่อทำลายพระอาจารย์ ) กันไปเองทั้งนั้น (ตื่นเถิดชาวสุวรรณโคมคำเอย)
บัดนี้บรรดาผู้ที่เกี่ยวข้อง ( รวมถึงถูกแอบอ้างว่าเกี่ยวข้อง ) กับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันหมดแล้วว่าพระอาจารย์ไม่ได้มีความผิดหรือเป็นอาบัติอะไร และพวกเขาก็ไม่ได้มีส่วนรู้เห็น / เกี่ยวข้องอะไรกับการใส่ความที่เกิดขึ้น กับพระอาจารย์เลย ไม่เคยมีอธิกรณ์ ไม่มีมติสงฆ์ หรือสลักหลังหนังสือสุทธิ ฯลฯ อะไรทั้งสิ้น เรื่องร้ายแรงที่เกิดขึ้นทั้งหมดทั้งสิ้นนั้น พวก ( แก๊ง ) มูลนิธิล้วนกุข่าวขึ้นเองและแอบอ้างเอาเองทั้งนั้น
บัดนี้ ความจริงได้ถูกเปิดเผยโดยชัดแจ้งแล้ว ทิศทางของคดีและแนวทางของกฎหมายมีข้อสรุปที่ชัดแจ้งแล้ว ไม่มีทางเป็นอย่างอื่นไปได้ ต้องดำเนินไปตามความเป็นจริงที่ปรากฏขึ้นตามจริงแท้นี้อย่างไม่ต้องสงสัย ในทางหลักกฎหมายถือว่าพระอาจารย์ชนะในเชิงคดีแล้วโดยเบ็ดเสร็จ เหลือเพียงดำเนินกระบวนการทางกฎหมายไปตามขั้นตอนจนครบถ้วน ผู้ที่ก่อเรื่อง / ทำความผิดเหล่านั้นก็ต้องรับโทษทัณฑ์ไปตามกฎหมายในที่สุด
ตอนนี้คดีที่ฟ้องไปแล้ว ที่โดนตัวพวกกรรมการมูลนิธิโดยตรงนั้นมีอยู่ 3 คดี คือ
1. คดีละเมิด
2. คดีปลอมแปลงเอกสาร
3. คดียักยอก (เงินของมูลนิธิ เช่น เงินทุนจดทะเบียน ฯลฯ )
ซึ่งคดีเหล่านี้เป็นเพียงคำเตือนให้พวกแก๊งมูลนิธิหยุดกระทำชั่วและสำนึกแก้ไข รวมทั้งรีบแสดงความรับผิดชอบต่อส่วนรวม เช่น รีบคืนมูลนิธิให้กลับมาอยู่ในสายขาวได้แล้วเป็นต้น ถ้าพวกแก๊งมูลนิธิแสดงความสำนึกแก้ไขเรียบร้อยแล้ว ทางโจทก์ก็จะไม่เอาความ จะอภัยให้ เรื่องที่แล้วก็แล้วกันไป ตั้งใจทำความดีเพื่อส่วนรวมกันดีกว่า
            แต่ถ้าเขาเหล่านั้นไม่สำนึก ไม่แก้ไขใด ๆ ไม่ยอมรับเอาทางออกอย่างผู้เจริญแล้วนี้ แต่กลับทำชั่วช้าสารพัดอย่างไร้ความเป็นมนุษย์ ฯลฯ อย่างที่เป็นอยู่นี้ พระอาจารย์ท่านก็ไม่มีทางเลือก เพราะศิษย์สุวรรณโคมคำทั้งหลายถามท่านว่า   พระอาจารย์เมตตาต่อแก๊งคนชั่วยิ่งนัก แต่พระอาจารย์ไม่เมตตาต่อศิษย์สุวรรณโคมคำและชาวพุทธที่ดีทั้งหลายบ้างหรือ พระอาจารย์ทนเห็นพวกเขาสู้อุตส่าห์ลำบากแสนสาหัสต่อเนื่องยาวนานถึง 3 ปี เพื่อรักษาความดีแห่งชาวสุวรรณโคมคำและชาวพุทธ เพราะเรื่องเท็จของคนชั่วไม่กี่คนที่ท่านเมตตาอยู่นั้นได้หรือ จะทนเห็นชาวสุวรรณโคมคำดี ๆ ทุกข์ยากต่อไปถึงเมื่อไร
            เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ พระอาจารย์ท่านจึงตัดสินใจว่าจะให้โอกาสพวกนั้นเป็นครั้งสุดท้าย ท่านจะรอถึงสิ้นเดือนมกราคม 2556 ถ้าพวกนั้นคืนมูลนิธิมาแก่สายขาวทันสิ้นเดือนมกราคม ท่านก็ขออนุโมทนาและยุติคดีทั้งปวง สุวรรณโคมคำก็จะฟื้นคืนรุ่งเรืองได้ในปี 2556 นี้แน่แท้ แต่หากพวกเขาไม่รับเอาโอกาสสุดท้ายนี้ พระอาจารย์ก็จำต้องฟ้องคดีหนักๆ ที่เหลืออีกนับไม่ถ้วนแก่คนพวกนั้นตามจริง เพราะคนพวกนั้นก่อเรื่องชั่วร้ายไว้นับไม่ถ้วน ซึ่งมีข้อมูลคดีอยู่ในมือพระอาจารย์หมดแล้ว เช่น คดี “ แจ้งข้อมูลเท็จต่อราชการ ” (แจ้งความเท็จ) ฯลฯ ซึ่งทางกฎหมายเรียกว่าป็นคดีอาญาแผ่นดิน เป็นคดีที่หนักมากที่เมื่อฟ้องแล้วจะหยุดไม่ได้ ต้องดำเนินไปจนจบ คนผิดต้องติดคุกสถานเดียว ที่ผ่านมาท่านจึงไม่ยอมฟ้องคดีหนักๆ แบบนี้ ถ้าฟ้องแต่ต้น สุวรรณโคมคำก็พบแสงสว่างนานแล้ว แต่พระอาจารย์ท่านสงสารพวกคนพาล ท่านจึงรั้งรออยู่ก่อน แต่จากนี้ท่านจะปล่อยให้เลยไปกว่านี้อีกไม่ได้แล้วโดยเด็ดขาด เนื่องจากสุวรรณโคมคำย่อยยับมาตั้ง 3 ปีแล้ว ( ตติยัมปิ ) ด้วยน้ำมือคนพาล จากที่เคยรุ่งเรืองมากขึ้น ๆ อย่างยิ่งมาโดยตลอดในสมัยพระอาจารย์ // ฉะนั้นถ้าหากถึงสิ้นเดือนมกราคมแล้วพวกนั้นยังไม่คืนมูลนิธิมาอยู่ในสายขาวก็ไม่มีทางเลือกอื่นใดเหลือให้รั้งรออยู่อีกแล้ว ก็จำเป็นต้องฟ้องคดีอาญาแผ่นดิน ให้พวกนั้นติดคุกหมดสิ้น ใช้คำตัดสินของศาลชี้ขาดเป็นที่ยุติ ประวัติศาสตร์จะได้บันทึกโดยชัดเจน เป็นการแก้ปัญหาและทำความกระจ่างไป ไม่ให้คลุมเครือ ยืดเยื้อ  เรื้อรัง เป็นปัญหาค้างคาไปในประวัติศาสตร์อันยาวนานข้างหน้า ๆ ก่อความเสียหายใหญ่หลวงแก่สุวรรณโคมคำและสรรพสัตว์สิ้นกาลนาน
ถ้าหากพวกเขาดึงดันที่จะให้เป็นอย่างนั้น ก็สุดแล้วแต่เถิด เพราะเมื่อศาลตัดสินถึงที่สุดแล้ว คนพวกนั้นติดคุกกันหมดสิ้นแล้ว ความเป็นจริงก็กระจ่างใสบริบูรณ์ มูลนิธิก็จะถูกนำมาคืนสู่สายขาวเองในที่สุดเช่นกัน ก็นับเป็นการแก้ปัญหาได้ ( แต่กระบวนการในศาลอาจใช้เวลานานเป็นปี / หลายปี )
 ระหว่างนี้พระอาจารย์ท่านก็เผยแพร่สุวรรณโคมคำอยู่เป็นปกติสุข ( ในธรรม ) มิได้เนิ่นช้าอะไรแต่ประการใด เพราะช่วงที่ผ่านมาท่านได้ค้นพบสุวรรณโคมคำ 16 ศาสตร์ ( โสฬส ) แล้ว และยังค้นพบรอยพระบาทของสมเด็จฯ ที่ประทับไว้บนก้อนหินเพื่อเป็นอนุสสติและเป็นประวัติศาสตร์แก่ชาวสุวรรณโคมคำและชาวพุทธอีกด้วย ไม่เพียงแค่นั้นท่านยังค้นพบศาสนสถานโบราณที่สมเด็จฯท่านเคยใช้ทำสังฆกรรม ฯลฯ สายสุวรรณโคมคำเราอีกด้วย นับว่าวิกฤตที่ผ่านมากลับให้คุณยิ่งแก่พระอาจารย์และชาวสุวรรณโคมคำสายขาวชนิดเขย่งก้าวกระโดดไปอีกหลายขั้นยิ่งนัก อย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว นับเป็นอานิสงส์อันยิ่งใหญ่แห่งจิตที่ตั้งมั่นในคุณธรรม และความเสียสละอันยิ่งยวด รวมถึงการบำเพ็ญบารมีอย่างอุกฤษฎ์ของพระอาจารย์ ที่สั่งสมมานับภพนับชาติไม่ถ้วนที่แสดงออกมาเป็นเครื่องพิสูจน์บุญบารมีให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจนเพื่อชาวสุวรรณโคมคำและสรรพชีวิตทั้งปวงอย่างน่าอัศจรรย์
            ซึ่งปัจจุบันท่านได้ถ่ายทอดบอกสอนวิชชากันอยู่ในหมู่ผู้ที่ ( ครูบาอาจารย์เรียกว่า.... ) “ คุณถึง ” ( เช่น มีความซื่อสัตย์จริงใจ มีคุณธรรม มีความเสียสละ ฯลฯ = สัจจะ ศีล ธรรมะ ) และท่านก็กำลังเรียบเรียงจัดทำเป็นโครงสร้างหลักสูตรฉบับปรับปรุงเตรียมเปิดสอนวิชชาให้ครบถ้วนบริบูรณ์ตลอดสาย ชนิดตั้งแต่เริ่มต้นปูพื้นฐานกันไปเลยสืบเนื่องต่อไปจนถึงยอดอย่างบริบูรณ์โดยไม่ขาดสายในต้นปีหน้า ( ปี 2556 ) นี้
            ขอเชิญชวนพวกเราชาวสุวรรณโคมคำและชาวพุทธทั้งหลายมาร่วมมือกันสาง ( แก้ ) ปัญหานี้ให้เป็นบุญใหญ่อานิสงส์ใหญ่สืบอายุพระพุทธศาสนาสืบไปภายหน้าให้มหาศาลๆๆกันไปเลย อย่าได้หลงผิดทำบาปใหญ่ ทำร้ายครูบาอาจารย์ ทำร้ายสุวรรณโคมคำและพระพุทธศาสนากันอีกต่อไปเลย

ตื่นเถิดชาวสุวรรณโคมคำ..................โคมสว่างแล้ว
สาาา.....................ธุ ๆ ๆ 

แถลงการณ์ฉบับที่ 3


แถลงการณ์คณะศิษย์สุวรรณโคมคำ ฉบับที่ 3

                 ดังที่ชาวสุวรรณโคมคำได้ทราบกันดีในช่วงที่ผ่านมาๆแล้วว่า มีกลุ่มคนคอยตามทำลายพระอาจารย์ โดยพวกเขาใส่ร้ายพระอาจารย์ด้วยเรื่องราวต่างๆมากมายอันเป็นเท็จ เช่น หาว่าพระอาจารย์เอาเงินส่วนรวม(กองกลาง)ของ สุวรรณโคมคำไปใช้ด้วยเรื่องส่วนตัวหมดแล้ว, เงินทำบุญผ้าป่าบ่อบาดาลและแท็งก์น้ำสูง พระอาจารย์ก็เอาไปใช้เองหมดแล้ว, เงินทำบุญผ้าป่าสร้างห้องน้ำ พระอาจารย์ก็ยักยอกเอาไปใช้หมด พุทธศาสนิกชนทั้งหลายอย่าร่วมทำบุญกับ พระอาจารย์ด้วยเรื่องใดๆ เลย จะถูกทุจริตยักยอกเอาไปใช้ในทางอื่นหมด แม้กระทั่งเงินทุนจดทะเบียนสำหรับก่อตั้ง มูลนิธิสุวรรณโคมคำ จำนวน 200,000 บาทที่ห้ามนำออกไปใช้โดยประการใดๆ ก็ถูกพระอาจารย์ที่สึกเป็นฆราวาส แล้วแอบย้อนกลับมาเบิกออกไปเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียหมดแล้ว
แท้ที่จริงแล้ว ในที่ไกล่เกลี่ย พระอาจารย์เอาเรื่องจริงจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริงมายืนยันถลักพวกเขาด้วยข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริงจนความจริงที่พวกเขาแอบก่อไว้มากมาย ทั้งที่ทำร้ายพระอาจารย์และส่วนรวมด้วย ทั้งก่อนและหลังที่แอบปลดพระอาจารย์ออกจากตำแหน่งประธานมูลนิธิ แต่ปกปิดไว้ไม่ให้ใครรู้เพราะมีเจตนาไม่ดีและทำไม่ดีไว้ด้วยพฤติกรรมอันเหิมเกริม เพราะเห็นพระอาจารย์ไม่อยู่จึงพากันคิดว่า พระอาจารย์ไปไม่รอดแล้ว ถูกฆ่าปิดปากไปตลอดกาลแล้ว ไม่มีใครรู้และห้ามปรามการทำชั่วของพวกเขาได้อีกแล้ว แท้ที่จริงแล้วพวกเขานั่นแลที่จ้องจะทุจริตยักยอกเอาผลประโยชน์ส่วนรวมของสุวรรณโคมคำดังกล่าวเหล่านั้นมาเป็นของเขาและพวกพ้อง เพราะปลายปีพ.ศ.2553 ตอนที่พระอาจารย์กำลังถูก(พวกเขา)ใส่ความอย่างหนักหน่วงแสนสาหัสอยู่นั้น แต่พระอาจารย์ก็ยังตั้งใจพากเพียรสร้างทำห้องน้ำจำนวน 8 ห้องและบ่อบาดาลแท็งก์สูงเกือบเสร็จสมบูรณ์และจ่ายเงินตามงวดตามผลงานไปบางส่วนแล้ว พวกเขาคนหนึ่งแอบไปอายัดบัญชีมูลนิธิไว้ จนเมื่องานก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ตามเจตนารมณ์ที่จัดทำผ้าป่าและมีผู้บริจาคมาจนครบจำนวนเพื่อ เจาะจงสร้างบ่อบาดาลแท็งก์สูงและห้องน้ำโดยเฉพาะ ตามที่พวกเราทั้งหลายร่วมแรงร่วมใจกันบริจาคมา และพระอาจารย์ก็ขวนขวายสร้างทำตามนั้นด้วยความรับผิดชอบต่อหน้าที่และเคารพในทานด้วยวิริยะอุตสาหะจนเสร็จสมบูรณ์ดีแล้วก็จะเบิกเงินทำบุญดังกล่าวที่เข้าบัญชีมูลนิธิไว้ตามกติกามาจ่ายตามนั้น แต่ก็ปรากฏว่าเบิกไม่ได้เพราะถูกหนึ่งในพวกเขาอายัดบัญชีไว้โดยให้เหตุผลกับธนาคารว่าเพื่อไม่ให้พระชั่ว (คือพระอาจารย์) ทุจริตยักยอกเงินทำบุญส่วนรวมของมูลนิธิไปใช้ส่วนตัวได้อีก(ธนาคารบอก)
เมื่อพระอาจารย์ได้ทราบดังนั้นก็ติดติดต่อไปยังกรรมการมูลนิธิท่านนั้น(ท่านอื่นที่เหลืออีก 5 คนเขาประกาศลาออกกันไปก่อนหน้านี้หมดแล้ว โดยมีเจตนาทิ้งให้พระอาจารย์แบกองค์กรอย่างยากลำบากและไปไม่รอดเอง)แต่ก็ได้รับคำตอบแบบเดียวกันกับที่ธนาคารบอก ทั้งๆที่พระอาจารย์ท่านก็บอกแล้วบอกอีกตั้งหลายครั้งว่าเงินนั้นเป็นเงินทำบุญเจาะจงสร้างสิ่งก่อสร้างดังกล่าวเหล่านั้นทั้งสิ้น(ซึ่งพวกเขาก็ทราบดีอยู่)เมื่อทำเสร็จสมบูรณ์แล้วก็ต้องนำออกมาจ่ายตามนั้นโดยสุจริต จะบิดพลิ้วใดๆมิได้ เรามิใช่เจ้าของเงิน ผู้บริจาคทั้งหลายต่างหากเป็นเจ้าของเงิน อย่าได้ทำทุจริตใดๆต่อเจ้าของเงินเด็ดขาด ขอให้เห็นแก่ส่วนรวมของสุวรรณโคมคำและพระพุทธศาสนาด้วย แต่ก็ได้รับคำตอบที่หยาบคายเช่นเดิมและเขาคนนั้นก็ย้ำอีกด้วยว่าดูซิ ! พระอาจารย์ จะมีทางดิ้นรนทำอะไรเพื่อส่วนรวมได้อีก
เมื่อพวกเขาขจัด(แอบปลด)พระอาจารย์สำเร็จแล้ว พวกเขาก็ฮุบเอาสิ่งต่างๆของสุวรรณโคมคำไป แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอดเพราะยังไม่ทันที่การไกล่เกลี่ยในศาลจะเสร็จสมบูรณ์ พวกเขาก็แอบไปถอนเงินออกมาจนหมด(ซึ่งผิดหลักการทั่วไป มีพิรุธอย่างมาก)แล้วไปเปิดบัญชีใหม่ในที่ใหม่ แต่ตอนที่เจรจาไกล่เกลี่ยกันในศาลเขาก็รับปากรับคำว่าจะไปถอนอายัดบัญชีร่วมกับพระอาจารย์เพื่อนำมาจ่ายค่าก่อสร้างที่ค้างไว้โดยสุจริตและมีบันทึกข้อตกลงว่าจะดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในไม่เกินวันที่เท่านั้นเท่านี้
ทั้งๆ ที่ ที่จริงแล้วพวกเขาแอบไปเบิกเงินออกมาก่อนจนหมดเป็นเวลานับเดือนๆแล้ว พวกเขาเจรจาโกหกปลิ้นปล้อนต่อหน้าพระอาจารย์และศาลได้อย่างไม่สะทกสะท้านในบาปกรรมใดๆ ที่พวกเขาก่อเลยสักนิด คิดแต่จะล่อหลอกให้พระอาจารย์ไปถอนแจ้งความให้ได้ สุดท้ายเมื่อเห็นว่าความชั่วของพวกตนจะถูกเปิดเผยมากเกินไปแล้ว ก็เลยรีบถอนฟ้องพระอาจารย์แล้วหลบลี้หนีหน้าและละเมิดข้อตกลงต่างๆ (เพื่อส่วนรวม)ในศาล หลบหนีไปโดยคิดว่าพระอาจารย์ไม่รู้เท่าทันต่อสิ่งต่างๆที่พวกเขาก่อกรรมและทุจริตบิดเบือนกันไว้ แท้จริงแล้ว พระอาจารย์ท่านทราบมิใช่น้อย แต่เพราะสงสารพวกเขาเหล่านั้นและไม่อยากให้คนอื่นมองภาพว่า สุวรรณโคมคำที่ประกาศตนว่าเป็น แนวพุทธ ทะเลาะกันเอง จึงยอมอดทนเจรจาเพื่อเปิดโอกาสให้พวกเขาได้กลับตัวกลับใจ โดยหวังลึกๆว่าเมื่อพวกเขาได้สิ่งต่างๆสมใจแล้วก็จะหันมาทำความดีเพื่อส่วนรวมตามที่ทำบันทึกข้อตกลงกันไว้ในที่ไกล่เกลี่ยเพื่อประโยชน์แก่ส่วนรวมของสุวรรณโคมคำ รวมถึงของพระพุทธศาสนาและมหาชนสืบไป
แต่ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ไม่ใช้โอกาสที่ได้รับนั้นมาทำความดีใดๆ พวกเขาแอบเบิกเงินไปแล้วก็ยังไม่ยอมเปิดเผยและก็ยังไม่ยอมจ่ายให้แก่เจ้าหนี้ที่ทำการก่อสร้างจนสำเร็จเสร็จสมบูรณ์แล้ว โดยประการใดๆ ได้แต่ใช้เล่ห์กลโกหกล่อหลอกช่างเหล่านั้นให้รอไปวันๆ
พวกเขาเอาเรื่องเท็จ(เรื่องปาราชิก)มาแอบปลดพระอาจารย์และใส่ความสารพัดซึ่งไม่เป็นความจริง โดยพวกเขาอ้างว่า พวกเขาเข้ามาเพื่อรักษาผลประโยชน์ของมูลนิธิและธรรมสถาน แต่บัดนี้เหตุการณ์กลับเป็นว่า ตั้งแต่พวกเขาได้มูลนิธิและธรรมสถานไป พวกเขาก็ทำให้ธรรมสถานรกร้างเละเทะแทบไร้การดูแลและไร้กิจกรรมการปฏิบัติเผยแผ่ธรรมะใดๆ จนเสี่ยงต่อการถูกสปก.ยึดคืนเพราะไม่ได้ทำตามเอกสารโครงการที่ยื่นขออนุมัติจัดตั้งไว้ ไม่มีเงินทุนและบุคลากรส่งไปสนับสนุนส่งเสริมตามโครงการเลย แถมบอก(โกหก)ช่างที่ทำการก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้วตามเจตนารมณ์ที่พวกเราชาวพุทธหลายพันคนร่วมบริจาคกันไปว่า มูลนิธิไม่มีเงินให้มาขนแท็งก์น้ำ เป็นต้น กลับไปซะ และจะไม่จ่ายให้แม้กระทั่งค่าขนย้ายเพราะ ไม่มีเงิน
แล้วเงินทำบุญเจาะจงสิ่งก่อสร้างเหล่านั้นที่ยังมีอยู่ในบัญชีหายไปไหนหมด ?  ใครโกงเงินบริจาคเหล่านั้นไป ล่าสุดไม่เว้นแม้แต่เงินทุนจดทะเบียนจำนวน 200,000 บาทก็ถูกแอบเบิกออกไปถลุงแล้วจำนวนมาก จนมูลนิธิอาจถูกราชการสั่งยุบก็เป็นได้  ตลอดมาในสมัยพระอาจารย์สิ่งเหล่านั้นถูกนำไปใช้สร้างสรรค์สิ่งดีงามสารพัดครบถ้วนทุกบาททุกสตางค์ตามเจตนารมณ์มิได้ตกหล่นจนมูลนิธิและธรรมสถานมั่นคงขึ้นๆ ทุกปี แต่พอพวกเขาเข้ามาดูแลจัดการไม่ทันถึงปีก็พินาศขนาดนี้แล้ว พวกเขาเจตนาเข้ามาเพื่อ รักษาหรือ ล้างผลาญ กันแน่  ใครกันแน่ที่ไม่น่าไว้วางใจ ใครกันแน่ที่ไม่น่าร่วมทำบุญด้วย ทั้งๆ ที่ในที่ไกล่เกลี่ยพวกเขาก็รับปากด้วยวาจากับพระอาจารย์หลายครั้งหลายคราว่าจะไปถอนอายัดด้วยกันและนัดช่างต่างๆมารับค่าก่อสร้างตรงที่ถอนอายัดนั้นเลยเพื่อความโปร่งใส เพราะพระอาจารย์ท่านก็ย้ำอย่างชัดเจนว่า ท่านจะได้ทำหน้าที่รับผิดชอบต่อการทำบุญและการก่อสร้างนั้นๆให้เสร็จสมบูรณ์ครบถ้วนตามกระบวนการทุกอย่างอย่างเต็มภาคภูมิและหมดภาระเสียที จากนั้นไปก็ขอให้พวกเขาช่วยกันดูแลมูลนิธิและธรรมสถานต่อไปให้จงดี อย่าให้มีอะไรเสียหายได้ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ผิดสัจจะทุกทีไป จนในที่สุดถึงกับต้องทำบันทึกกันเป็นลายลักษณ์อักษรซึ่งพวกเขาก็ตกลงด้วยดีอีก2ครั้ง2ครา แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็รีบถอนฟ้องแล้วหลบลี้หนีหน้าไปไม่รักษาสัจจะใดๆที่ได้ทำกันไว้
สิ่งต่างๆที่พวกเขาใส่ความพระอาจารย์ไว้มากมาย สุดท้ายแล้วในความเป็นจริงพวกเขานั่นแหล่ะเป็นคนลงมือก่อกรรมทำชั่วนั้นๆเสียเองหมด แม้แต่เรื่องมนต์ดำและอวิชชาที่พระอาจารย์ถูกใส่ความว่า ท่านทำใส่คนนั้นคนนี้ แท้จริงแล้วท่านไม่เคยทำและไม่เคยสนใจหรือศึกษาศาสตร์เหล่านั้นเลย และท่านเคยปรามพวกเขาเป็นระยะๆด้วยว่า ห้ามใช้อวิชชาและมนต์ดำใดๆ เราเป็นชาวพุทธนะ ให้เลิกละเสีย
บัดนี้พวกเขาหางโผล่อีกจนได้ เพราะพออับจนหนทางเข้าพวกเขาก็เปิดเผยตัวตนออกมาจนได้ เช่น ทำตะกรุด(ครอบงำคน) เป็นต้น พวกเขานั่นแลที่แอบทำมนต์ดำใส่คนนั้นคนนี้ แล้วป้ายสีมาที่พระอาจารย์ แม้แต่ วิชาสุวรรณโคมคำต่างๆ เช่นโหราศาสตร์แนวพุทธ เป็นต้น พวกเขาก็ได้ไปน้อยเพราะพระอาจารย์ท่านเห็นว่าพวกเขามีภูมิจิตภูมิธรรมที่ยังอ่อนอยู่มาก คุณธรรมก็ยังไม่ถึงขั้น จึงยังไม่ได้สอนต่อนัก ได้แต่ย่ำฐานให้แน่นไปพลางๆ ก่อน สุดท้ายพวกเขาก็อดทนรอเอาไม่ได้ จึงใช้วิธีแย่งยื้อเข้ายึดครองและเอาสิ่งอื่นๆเข้ามาปลอมปนเปไป แล้วแอบอ้างว่าเป็นวิชาสุวรรณโคมคำ
พระอาจารย์จึงไม่มีทางหลีกเลี่ยง เพื่อไม่ให้ส่วนรวมเสียหายไปมากกว่านี้ จึงจำเป็นต้องจัดการพวกเขาให้เด็ดขาดไปด้วยกระบวนการทางกฎหมาย ช็อตแรกฟ้องร้องไป 5 คดี เพราะพวกเขาก่อกรรมทำทุจริตผิดศีลธรรมและกฎหมายกันไว้ต่างๆมายมายนับกระทงและคดีไม่ถ้วน แม้กระทั่งพระรูปหนึ่งในวัดยานฯที่ร่วมแก๊งใส่ความพระอาจารย์ก็โดนฟ้องข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วย(นี่ยังไม่นับรวมคดีที่พวกช่างต่างๆจะฟ้องร้องมูลนิธิอีกด้วย)
พระอาจารย์ท่านสร้างทำทุกสิ่งให้สุวรรณโคมคำ จากสิ่งที่ไม่มีอะไรเลยมาจนกระทั่งเป็นรูปเป็นร่างมั่นคง บัดนี้ท่านก็มิได้เรียกร้องเอาอะไร แม้แต่ตำแหน่งประธานมูลนิธิท่านก็มิได้ยึดติด ที่ท่านต้องฟ้องร้องในครั้งนี้ก็เพราะจำเป็นที่จะต้องทำความจริงให้ปรากฏตามจริงว่า ท่านไม่ได้เป็นอาบัติร้ายแรงคือปาราชิกอะไรตามที่ถูกใส่ความเลยสักนิด เพื่อเป็นการเคลียร์ตัวท่านเองและส่วนรวมของสุวรรณโคมคำให้ปลอดโปร่งจากปัญหาใดๆในเชิงสังคมและกฎหมายไม่ให้กลับมามีปัญหาได้อีกในอนาคต
ท่านประสงค์เพียงแค่ได้ทำตามมหาปณิธานเพื่อพระพุทธศาสนาไปจนตลอดชีวิตดั่งตั้งใจเท่านั้น ไม่ได้โกรธเคืองใคร ไม่ได้คิดจะเอาใครเข้าคุกเข้าตารางเลย  แต่พวกเราบางคนที่เป็นศิษย์กลับยังคงพยายามไปขวนขวายปิดกั้นเหยียบย่ำ ขัดขวางท่านอยู่อย่างนี้จะถูกต้องหรือ
ถ้าหากการฟ้องร้อง 5 คดีนี้สำเร็จลุล่วงเรียบร้อยไปได้ด้วยดี ทุกอย่างก็จบ ก็พบทางออกแก่ทุกฝ่าย สันติสุขก็จะบังเกิดมีสืบไป แต่ถ้าหากการฟ้องร้องในครั้งนี้ยังคงมีกลุ่มคนผู้ไม่หวังดีพยายามขัดขวางปกปิดบิดเบือนพยายามใส่ความ(ฆ่าปิดปาก)ท่านให้หายสูญไปเพื่อสนองกิเลสของพวกตนอีก พระอาจารย์ท่านก็จำเป็นจะต้องใช้กระบวนการทางกฎหมายเข้ามาจัดการขั้นเด็ดขาดโดยใช้ข้อมูลหลักฐานและพยานที่มีอยู่ในมือท่านพร้อมมูลแล้ว ฟ้องร้องเพิ่มอีกนับเป็นสิบคดีเพื่อทำความจริงให้ปรากฏชัดเจนเสียที
บ้านนี้เมืองนี้ยังมีขื่อมีแป จะปล่อยให้พวกคนชั่วที่ไม่รู้จักสำนึกและกลับตัวกลับใจมาครอบงำทำลายสุวรรณโคมคำและส่วนรวมอย่างไร้มโนธรรมไม่ได้อีกต่อไป เพราะส่วนรวมเสียหายมามากนักแล้ว จะปล่อยให้เสียหายไปมากกว่านี้อีกไม่ได้ เพราะจะไม่มีวันฟื้นคืนได้อีกเลย!



                                                                                                                 คณะศิษย์สุวรรณโคมคำ
                                                                                                                 15 พฤศจิกายน 2554




แถลงการณ์ฉบับที่ 2


แถลงการณ์คณะศิษย์สุวรรณโคมคำ ฉบับที่ 2

สืบเนื่องมาจากการที่ พระอาจารย์ ถูกกล่าวหาใส่ความอย่างมากมาย ล่าสุดมีการฟ้องร้อง บีบคั้นจนท่านจำเป็นต้องออกมาต่อสู้ด้วยกระบวนการทางกฎหมายทั้งๆที่ท่านหลีกไปบำเพ็ญกรรมฐานหลายเดือนแล้ว  เพราะไม่อยากให้เกิดภาพของการต่อสู้กันเองของชาวสุวรรณโคมคำ อันจะเป็นผลเสียแก่สุวรรณโคมคำเองโดยส่วนรวม
ท่านถูกฟ้องร้องว่ายักยอกทรัพย์สินของมูลนิธิสุวรรณโคมคำ โดยที่มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งได้แอบไปประชุมกันเอง แล้วร่วมกันปลดท่านออกจากตำแหน่งประธานมูลนิธิสุวรรณโคมคำ  แล้วประสงค์จะเข้าครอบครองทรัพย์สิน เงินทอง ฯลฯ ของสุวรรณโคมคำไว้เป็นของตนและพวกพ้องเท่านั้น โดยได้ส่งหนังสือไปทวงทรัพย์สินและข้าวของๆมูลนิธิสุวรรณโคมคำจากท่าน ทั้งที่จริงๆแล้วท่านไม่ได้เอาสิ่งใดไปเลย
ท่านได้เสียสละตลอดมา เมื่อท่านสละไป ท่านก็ไปแต่ตัวมีเพียงบาตร จีวรและย่าม ๑ ใบเท่านั้น พวกเขาทำทีเหมือนทวงทรัพย์สินของมูลนิธิสุวรรณโคมคำเท่านั้น โดยเขียนเอกสารแยกแยะเป็นข้อๆมาเป็นที่เรียบร้อย แต่แท้จริงแล้วโดยใจความ ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่าเขาหมายเอาทรัพย์สินทั้งหมดทุกสิ่งทุกอย่างแม้มิใช่ของมูลนิธิสุวรรณโคมคำ หรือแม้กระทั่งของส่วนตัวของพระอาจารย์เอง เช่น คัมภีร์โบราณ ไม้เท้าหลวงปู่ศุข ที่ครูบาอาจารย์ให้ไว้เป็นพิเศษก็ตาม โดยมุ่งจะฮุบทรัพย์สิ่งของทุกอย่างไว้เป็นของตนและพวกพ้องเท่านั้นซึ่งจะส่งผลให้สิ่งดีๆของสุวรรณโคมคำส่วนอื่นๆ ที่ดีงามเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมและมหาชนสูญสิ้นไปหมด คงเหลือเพียงตนและพวกพ้องที่ครอบครอง สุวรรณโคมคำ เพียงกลุ่มเดียวโดยไร้คู่แข่ง
                    เพราะก่อนหน้านี้คนกลุ่มนี้เคยพาพรรคพวกพร้อมตำรวจมาข่มขู่ขับไล่ทีมงานที่ช่วยกันดำรงองค์กรและวิชาสุวรรณโคมคำ ให้เผยแพร่ต่อไปได้ด้วยดี มิให้สูญสิ้น แม้ต้องเผชิญความยากลำบากสักเพียงใดก็ตาม แต่คนพวกนั้นกลับมาขับไล่ด้วยความโลภโมโทสันอันธพาล ทำท่าทีคุกคาม ข่มขู่ ขับไล่ ทำท่าทางจะชกต่อยเพื่อให้เกิดความหวาดกลัวแล้วหลีกหนีไป
เมื่อทีมงานที่บริสุทธิ์ใจเหล่านั้นไม่เกรงกลัวต่อภัยพาล และการแกล้งข่มขู่ทางกฎหมายอันมิชอบ ยังคงมุ่งมั่นเสียสละด้วยใจบริสุทธิ์ต่อไป จึงทำให้คนกลุ่มนั้นทำหนังสือส่งไปที่ชมรมฯรวมถึงที่บ้านคุณอาในกรุงเทพฯ ซึ่งมีชื่อท่านอยู่ในทะเบียนบ้าน และบ้านคุณแม่ของท่านซึ่งเป็นบ้านเกิดของท่านที่ชัยนาท แต่พอพระอาจารย์ได้ทราบเนื้อหาของเอกสารแล้ว ก็รู้ทันว่าเขาประสงค์จะฮุบสุวรรณโคมคำไปทั้งหมดไม่ได้ประสงค์ดีต่อส่วนรวมดังกล่าวอ้างเลย จึงนิ่งเฉยเสีย
                  ที่จริงก่อนไปบำเพ็ญกรรมฐาน พระอาจารย์ท่านประกาศพักใหญ่แล้วว่า ให้เหล่าศิษย์สุวรรณโคมคำที่เสียสละจริงใจและเห็นคุณค่าของวิชาสุวรรณโคมคำมารวมตัวกันสามัคคีสืบทอดองค์กรและวิชาสืบไปไม่ให้สูญหาย เพราะท่านเสียสละสร้างสรรค์ ฟื้นฟูทุกสิ่งมาก็เพื่อมอบให้แก่ศิษย์สุวรรณโคมคำทั้งหลายรับไปนั่นแล
                        แต่คนเหล่านี้กลับเพิกเฉยเสีย แล้วมาบัดนี้กลับแสดงความพาลจะฮุบเอาทั้งหมดโดยไม่สนใจส่วนรวมหรือใครเลย ซึ่งจะมีผลให้สุวรรณโคมคำแปรเปลี่ยนไปเป็นอกุศลโดยสิ้นเชิงและสูญสิ้นไปในที่สุด
                           สุดท้ายเมื่อไม่ได้ดังประสงค์ พวกเขาจึงฟ้องร้องด้วยข้อกล่าวหาดังกล่าว ทำทีเหมือนหวังดีต่อส่วนรวมของสุวรรณโคมคำแต่ก็แอบแฝงไปด้วยเลศนัยและเล่ห์กลอันธพาลมากมาย
                           พระอาจารย์นั้น ทั้งๆ ที่ท่านไม่ได้ครอบครองทรัพย์สมบัติส่วนรวมใดๆของสุวรรณโคมคำเลย ก็จำเป็นต้องออกมาจัดการเรื่องนี้ให้สำเร็จเรียบร้อยไปด้วยดี  เพื่อส่วนรวมของสุวรรณโคมคำ
เมื่อได้ไปพบกันในที่ไกล่เกลี่ย พระอาจารย์ท่านก็ยืนหยัดปกป้องส่วนรวมของสุวรรณโคมคำโดยท่านยืนยันหนักแน่นตามความเป็นจริงว่า สุวรรณโคมคำทุกส่วนล้วนมีคุณค่ามากและเป็นประโยชน์ดีงามแก่ส่วนรวมทั้งสิ้น ทั้งนี้ต้องเจรจากันบนพื้นฐานที่ว่า จะทำอย่างไร ? ให้ทุกส่วนของสุวรรณโคมคำ เช่น ชมรมฯ มูลนิธิฯ และ ธรรมสถานสุวรรณาภา อยู่รอด หลุดพ้นจากปัญหา และยั่งยืนต่อไปได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต จึงจะคุยด้วย
ทุกครั้งที่มีการเจรจาไกล่เกลี่ย พวกเขาไม่สามารถโต้แย้งความเป็นจริงที่พระอาจารย์ท่านกล่าวได้เลย แม้กระนั้นพวกเขาก็พยายามแย้งเอาทุกวิถีทาง เพราะพวกเขายึดมูลนิธิสุวรรณโคมคำได้แล้ว ก็คิดจะยึดเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปเป็นของตนและพวกพ้อง โดยมีเจตนาแอบแฝงเพื่อขจัดพระอาจารย์และส่วนอื่นๆของสุวรรณโคมคำให้หมดสิ้นไป แต่ก็ไม่อาจสู้เหตุผลและความเป็นจริงที่ท่านนำมากล่าวได้ เพราะท่านนำพาทำมาเองทั้งนั้นด้วยใจบริสุทธิ์จริง ที่ท่านสู้ยอมอดทนเจรจากับคนพาล ก็เพราะเห็นแก่ ส่วนรวม ของสุวรรณโคมคำ
                           จนในที่สุดพวกเขาก็ต้องถอนฟ้องพระอาจารย์เอง เพราะพระอาจารย์ท่านไม่ได้ทำผิดอะไร แต่ก่อนที่การเจรจาจะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ เกือบจะถึงกำหนดที่จะถอนฟ้องแล้ว พระอาจารย์ท่านได้ไปดำเนินการแจ้งความ ข้อหาหมิ่นประมาทไว้ เพื่อเป็นการยืดอายุความ (เพราะกำลังจะหมดอายุความ 3 เดือน) เนื่องจากพระอาจารย์เริ่มเห็นแล้วว่า หน้าฉากกับหลังฉากของพวกเขาต่างกันอย่างน่าตกใจ จึงยืดอายุความไว้ก่อนเพื่อความไม่ประมาท
                           พอพวกเขาได้รับรู้ว่ามีการแจ้งความข้อหานี้ ก็ดิ้นรนทุรนทุรายอย่างมากขวนขวายเพื่อให้พระอาจารย์ถอนแจ้งความท่าเดียว ทั้งๆที่พระอาจารย์ท่านไม่ได้ต้องการจะเอาใครเข้าคุกตารางหรอก เพียงแต่ต้องการให้นำเรื่องราวที่เกิดขึ้นอันเป็นปัญหาเรื้อรังมานานเข้ามาพูดกันในศาลเพราะเรื่องต่างๆมันจะได้จบอย่างแจ่มกระกระจ่างที่ศาล มานำเสนอข้อมูลกันในศาล  อย่าไปพูดกันข้างนอกอีกต่อไป แล้วจะได้ไต่สวนทุกเรื่องอย่างเป็นระบบ อย่างเป็นธรรม อะไรใช่-ไม่ใช่ อะไรผิดหรือถูก จะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนกันเสียที เรื่องต่างๆจะได้กระจ่างแจ้ง ไม่หวนเกิดปัญหากับสุวรรณโคมคำต่อไปในระยะยาวได้อีก นี้คือวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดให้แก่ส่วนรวมของสุวรรณโคมคำ
แต่พวกเขากลับร้อนรนมาก พยายามดิ้นรนทุกวิถีทางมุ่งให้ถอนแจ้งความท่าเดียวเท่านั้น โดยไม่สนใจความชัดเจนใดๆเพื่อส่วนรวมเลย แถมนำเอาการถอนฟ้องมาเป็นข้อต่อรอง(ทั้งๆที่เป็นคนละเรื่อง คนละคดี ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน) โดยไม่สนใจผลที่จะเกิดขึ้นกับส่วนรวมเลย โดยพวกเขาเคยอ้างไว้ว่า ออกมาเปิดโปงคนชั่วเพื่อไม่ให้ทำความชั่ว หรือหลอกลวงผู้คนและทำร้ายส่วนรวมของสุวรรณโคมคำได้อีก ซึ่งจะเป็นเช่นนั้นจริงหรือ ?   เพราะการดิ้นรนดังกล่าวอันที่จริงเป็นไปเพื่อมิให้ความจริงถูกเปิดเผยซะมากกว่ากระมัง
                           บรรดาพวกเราทั้งหลายหากได้คลุกคลีติดตามเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาโดยตลอด ก็จะรู้ว่า ใคร? หรือกลุ่มใด? เป็นผู้กระทำ หรืออยู่เบื้องหลังการกระทำนั้นๆมาโดยตลอด พวกเขายืนยันหนักแน่นตลอดมา ทำแม้กระทั่งอ้าง บูรพาจารย์เบื้องบน อ้างฤทธิ์ อ้างฌาณ ต่างๆ นาๆมายืนยัน  ทำทุกวิถีทางเพื่อโค่นล้มพระอาจารย์ แล้วตั้งตนขึ้นมายึดครองสุวรรณโคมคำเพื่อทำการแทน  โดยกล่าวอ้างว่า เพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์ของสุวรรณโคมคำ
                        แต่ในเอกสารที่ปรากฏกลับกล่าวตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง เพราะในที่ไกล่เกลี่ย พอเห็นว่าเรื่องแดงออกมาแล้วเพราะพระเถระในวัดยานนาวาทำหนังสือมาปฏิเสธคำกล่าวอ้างของพวกเขาอย่างชัดเจน(ดังเอกสารที่แนบท้ายแถลงการณ์ฉบับที่1) จนความผิดความชั่วต่างๆกำลังย้อนกลับมาเข้าตน พวกเขาก็กลับไม่รับผิดชอบและโยนความผิดให้ผู้อื่นได้อย่างหน้าตาเฉย โดยไม่คำนึงถึงมโนธรรม ความถูกต้อง หรือความเป็นจริงใดๆเลย
เขาก็แค่บอกว่าเขาขอโทษ แต่เขาเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรได้แค่นี้ เขาเขียนคำขอโทษโดยตรงไม่ได้หรอก เพราะว่าถ้าทำอย่างนั้นเขาและพรรคพวกจะต้องติดคุกกันหมด ทั้งๆที่พระอาจารย์ ได้กล่าวย้ำแล้วว่า ท่านไม่มีความประสงค์จะให้ใครต้องเข้าคุก และท่านไม่ประสงค์จะเอาตำแหน่งคืนด้วย เพียงแต่หากรู้สำนึกแล้ว อยากให้เขียนคำขอโทษและกล่าวขอขมาให้เป็นกิจจะลักษณะเป็นเรื่องเป็นราว เพื่อให้ชาวสุวรรณโคมคำทั้งปวงได้รับรู้รับทราบความจริงที่เกิดขึ้นอย่างถูกต้อง ปัญหาทั้งหลายที่ผ่านๆมาจะได้หมดไป ส่วนรวมจะได้สงบสุขกันเสียที พระอาจารย์ท่านบอกให้พวกเขาดูแลมูลนิธิฯและธรรมสถานฯตามปณิธานเดิมตั้งแต่ก่อตั้งให้จงดี และอย่าให้สูญสลายไป ส่วนพระอาจารย์เองก็จะต้องทำสำนักสงฆ์เพื่อสุวรรณโคมคำต่อไปแล้วเช่นกัน พวกเขาก็รับปากด้วยดี แต่ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ไม่ยอมทำตามข้อตกลงที่บันทึกกันไว้(เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม) ได้แต่ใช้เล่ห์กลทุกวิถีทางเพื่อกลบเกลื่อนความผิดของตน โดยไม่คำนึงถึงสิ่งถูก สิ่งผิด สิ่งดี สิ่งชั่ว คุณธรรมและความเป็นจริงใดๆ เลย กลับใช้อุบายต่ำช้าทุกอย่าง เพียงเพื่ออต้องการให้เกิดการถอนแจ้งความเท่านั้น
                        เพื่อเหล่าศิษย์ทั้งปวงและส่วนรวมของสุวรรณโคมคำ พระอาจารย์จึงจำเป็นต้องดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายกับพวกเขาต่อไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และจะต้องฟ้องร้องพวกเขาเพิ่มอีกหลายคดี เนื่องจากพวกเขาก่อกรรมทำเข็ญไว้หนักหนาในหลายที่หลายแห่งต่างกรรมต่างวาระกันมากมายนัก เพราะจนบัดนี้พวกเขาก็ยังไม่คำนึงถึงส่วนรวมใดๆ และไม่ยอมจบปัญหาที่พวกเขาก่อกันไว้ ให้เกิดความชัดเจน กระจ่าง แจ่มแจ้งไร้ข้อกังขา หากปล่อยไว้ชาวสุวรรณโคมคำเราก็จะถูกหยิบยกสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาโจมตีตลอดไปไม่รู้จบสิ้นทั้งชีวิต ไม่เป็นผลดีทั้งแก่พระอาจารย์และสุวรรณโคมคำ ตลอดถึงเหล่าศิษย์โดยรวม จึงจำเป็นต้องพึ่งกระบวนการทางกฎหมายในเรื่องดังกล่าวให้เด็ดขาดไป
                        ทั้งนี้พระอาจารย์ท่านไม่ประสงค์จะทำให้ผู้หนึ่งผู้ใดต้องติดคุกติดตารางเลย เพียงแต่ขอให้ใครที่หลงผิดไปแล้ว มาขอขมาพระอาจารย์ ด้วยความสำนึกผิดและจริงใจ พระอาจารย์ก็จะยกโทษให้ทันที เพราะล้วนเป็นลูกศิษย์พระอาจารย์กันทั้งนั้น
                        ที่จริงพระอาจารย์ไม่ได้ถือสาอะไรใคร เพียงแต่หาทางที่ดีที่สุดเพื่อจะจบปัญหาให้ส่วนรวมอย่างยั่งยืนเท่านั้น  แต่คนเหล่านั้นยังไม่สำนึกยังมีความโลภโมโทสันและเห็นแก่ตัวอย่างเดียวเท่านั้น คิดหวังแต่ผลประโยชน์และปกปิดความเป็นจริง พยายามปิดหูปิดตาชาวสุวรรณโคมคำ มุ่งบิดเบือนข้อเท็จจริงต่างๆเพื่อให้ตนและพรรคพวกพ้นจากการเสียหน้าและการติดคุกถ่ายเดียว อันจะส่งผลเสียอย่างร้ายแรงต่อส่วนรวมมิรู้จบสิ้น ดังที่พระอาจารย์เคยกล่าวไว้บ่อยๆ ว่า สิ่งที่คนชั่วกลัวที่สุด คือ กลัวว่าคนอื่นจะรู้ว่าตัวเองชั่ว
ถ้าเป็นเช่นนั้น พระอาจารย์ก็จำเป็นต้องดำเนินการตามกฎหมายต่อไปอย่างเด็ดขาด  จนกว่าพวกเขาจะต้องรับกรรมที่ก่อไว้  เพื่อให้ส่วนรวมของสุวรรณโคมคำได้พบแสงสว่างอีกครั้ง

คณะศิษย์สุวรรณโคมคำ
                                                                                                                                          17 ตุลาคม 2554












แถลงการณ์ฉบับที่ 1


แถลงการณ์คณะศิษย์สุวรรณโคมคำ ฉบับที่ 1
               
ตามที่พระอาจารย์ถูกกล่าวร้ายมากมายเกินกว่าความจริงเสมือนมิใช่มนุษย์ประดุจว่าหลุดมาจากนรก อีกทั้งยังมีมติที่ประชุมของกรรมการมูลนิธิสุวรรณโคมคำเพื่อปลดพระอาจารย์จากตำแหน่งประธานมูลนิธิ เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน  2553 ในบันทึกการประชุม มีข้อความบางส่วนว่า ได้ทราบข่าวและจากการพูดคุยกับพระปลัดวีรภัทร์ ปริมุตโต ผู้ช่วยเจ้าอาวาสสวัดยานนาวา เลขานุการเจ้าคณะแขวงยานนาวา เขต 1 คณะกุฏิ 9 วัดยานนาวา เกี่ยวกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของพระอาจารย์ ประธานมูลนิธิสุวรรณโคมคำมีความเกี่ยวพันกับสีกาจำนวนหลายคนอย่างร้ายแรงทั้งทางกาย วาจา ใจ...  เมื่อทางวัดยานนาวาได้แต่งตั้งกรรมการสงฆ์เพื่อสืบหาข้อเท็จจริงแล้ว มีมติให้พระอาจารย์ ลาสิกขาด้วยเหตุ ปฐมปาราชิกในหนังสือสุทธิ….” แท้จริงแล้วเรื่องมีอยู่ว่า มีผู้ส่งบัตรสนเท่ห์ กล่าวร้ายพระอาจารย์ไปที่วัดยานนาวา แล้วพระอาจารย์ท่านต้องต่อสู้ข้อกล่าวหานั้นอย่างถึงที่สุด เพราะท่านยืนยันมั่นคงว่าท่านไม่ได้ทำสิ่งอกุศลตามที่กล่าวหานั้น แต่มีพระบางรูปกล่าวเป็นนัยทำนองว่า ถ้าพระอาจารย์ไม่ยอมลาสิกขาออกไปจากวัดยานาวาดีๆ ก็จะร้องเรียนให้มหาเถรสมาคมยุบองค์กรสุวรรณโคมคำเสีย (วัดยานนาวาเป็นวัดใหญ่ มีอำนาจอยู่ในมหาเถรสมาคม) พระอาจารย์ตรึกตรองถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นแก่องค์กรแล้ว จึงได้ตัดสินใจยอมเสียสละทุกอย่างรวมทั้งเสียสละตนแบกรับทุกข์ภัยทั้งปวง (ด้วยการลาสิกขาแล้วบวชใหม่เป็นพระภิกษุสังกัดมหานิกาย เป็นพระธรรมดา โดยเริ่มนับพรรษา 1 ใหม่) เพื่อปกป้องภัยอันจะมีแก่องค์กรสุวรรณโคมคำ แม้กระนั้นก็ยังถูกตามทำร้าย ขัดขวาง ใส่ความ อย่างไม่หยุดหย่อน มีผลเสียกระทบถึงส่วนรวมของสุวรรณโคมคำ ท่านจึงได้ลาสิกขาไปบวชใหม่เป็พระภิกษุสังกัดธรรมยุติกนิกายเพื่อจะได้เผยแพร่สุวรรณโคมคำได้อย่างปลอดโปร่งไม่มีอุปสรรค และได้ไปปฏิบัติกรรมฐานที่จังหวัดกาญจนบุรี เป็นเวลาประมาณ 5 เดือนเต็ม เพื่ออุทิศบุญและแผ่เมตตาให้แก่ผู้ที่ทำร้ายท่านและทำร้ายสุวรรณโคมคำ แต่กระนั้นเรื่องต่างๆ ก็ไม่ได้ยุติ คนที่ทำร้ายก็ไม่ได้หยุดการกระทำ อีกทั้งมีบุคคลบางกลุ่มไปฟ้องเป็นคดีต่อศาลแขวงพระนครใต้ว่าพระอาจารย์ยักยอกทรัพย์ของมูลนิธิสุวรรณโคมคำ ท่านจึงจำเป็นต้องออกมาต่อสู้ทางกฎหมายอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ ทั้งนี้ได้ขอออกหมายศาลเรียกพยานหลักฐานต่างๆ ตามที่มีผู้กล่าวอ้างถึงจากพระภิกษุวัดยานนาวาที่ถูกระบุ (เพราะพระอาจารย์ได้ยินแต่ข่าวปล่อยออกมามากมายในทางร้ายแรง แต่ท่านมิได้ประพฤติเช่นนั้น ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ปล่อยข่าวและมีจุดประสงค์แท้จริงอย่างไร) สุดท้ายพระภิกษุวัดยานนาวาได้มีจดหมายตอบศาลและแนบเอกสารมาดังนี้
1.       จดหมายปฏิเสธการรับรู้และการเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวจากพระสุธีธรรมนาท เจ้าคณะเขตฯ
2.    สลักหลังหนังสือสุทธิของพระอาจารย์ส่งมาโดยพระปลัดวีระพัฒน์ เลขานุการเจ้าคณะเขตฯ (ตามเอกสารที่แนบมาข้างท้าย)
จากเอกสารดังกล่าว ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า มิได้มีการสอบสวน / มีมติคณะสงฆ์วัดยานนาวาว่าพระอาจารย์ต้องอาบัติปฐมปาราชิกและถูกจับสึกด้วยอาบัติปฐมปาราชิก โดยมีการสลักหลังหนังสือสุทธิของท่านว่าต้องอาบัติปฐมปาราชิกเป็นหลักฐานรองรับ ตามข่าวที่ลือกันออกมาอย่างกว้างขวางแต่อย่างใด ซึ่งทำให้พระอาจารย์ได้รับความเสียหาย ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชังรังเกียจจากสังคมเป็นอย่างมาก
เมื่อความจริงในเรื่องดังกล่าวปรากฏออกมาเป็นที่แน่นอนดังนี้แล้ว ชาวสุวรรณโคมคำและสาธุชนทั้งหลายคงได้รับความกระจ่างขึ้นเป็นอันมากว่าเรื่องทั้งหลายเป็นเพียงข่าวลือและการแต่งเติมอย่างร้ายกาจมหาศาลของบุคคลบางคนหรือบางกลุ่มที่ประสงค์ร้ายต่อพระอาจารย์และสุวรรณโคมคำที่เพียงเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของตนก็สามารถกล่าวเท็จและสร้างเรื่องร้ายกาจได้ โดยไม่จำกัดวิธีการและไม่คำนึงถึงผลเสียใดๆ ต่อสุวรรณโคมคำและส่วนรวม
พวกเราลองถามใจตัวเองสิว่า พวกเรากำลังทำร้ายปฐมาจารย์ (อาจารย์สุวรรณโคมคำคนแรก) ของพวกเราอยู่หรือเปล่า ? และพวกเรากำลังทำลายทุกสิ่งที่ท่านยอมเสียสละอนาคตและแม้กระทั่งชีวิต สร้างสรรค์และปกป้องฟื้นฟูสุวรรณโคมคำไว้ให้พวกเราตลอดมากันหรือเปล่า ?
คณะศิษย์สุวรรณโคมคำจึงขอเรียกร้องให้ชาวสุวรรณโคมคำและผู้รับข่าวสารทั้งหลายให้มีสติยั้งคิดและใช้ปัญญาอย่างรอบคอบอย่าได้หลงตกเป็นเหยื่อข่าวลือและตกเป็นเครื่องมือของคนพาลอย่างไม่รู้ตัวกันอีกต่อไปเลย
ถ้าศิษย์สุวรรณโคมคำได้รับข้อมูลเช่นนี้แล้ว ขอให้ใช้วิจารญญาณและสติปัญญาอยู่ในพื้นฐานของความเป็นจริง  เมื่อนั้นสุวรรณโคมคำก็จะกลับมาเจริญรุ่งเรืองเฟื่องฟูได้ดังปณิธานที่ตั้งไว้ ยังไม่สายที่จะยอมรับความจริง และกล่าวเรื่องที่ถูกต้องตามเอกสารหลักฐานที่ได้รับให้แก่ผู้คนที่ยังไม่ได้รับความจริงให้ได้รับรู้ข้อมูลที่ถูกต้องต่อๆไปในวงกว้างด้วยเถอะ



คณะศิษย์สุวรรณโคมคำ
     10 กรกฎาคม 2554