ตกอับหรือเพิ่มบารมี
ลองมาตรองกันดูว่า ด้วยเพราะเหตุใดพระอาจารย์จึงทุ่มเทแรงกายแรงใจจากพระมหาเปรียญ 4 และมีการศึกษาดีเยี่ยมเกียรตินิยมอันดับ 1 เหรียญทอง สอบได้ที่ 1 ของรุ่น จนเกือบจะได้รับปริญญาเอกในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ประการหนึ่ง การถูกกล่าวหาอย่างรุนแรงเกี่ยวกับการปาราชิกเรื่องสีกา ประการหนึ่ง และสุดท้ายถูกปลดจากการเป็นประธานของมูลนิธิสุวรรณโคมคำ
ที่ท่านเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้ง และบุกเบิกมาตลอดอีกประการหนึ่ง
ทั้งสามประการใหญ่ๆ ที่หนักแสนสาหัส ตั้งแต่กลางปี2553มา ก็ยังไม่ทำให้ท่านย่อท้อหวั่นไหว
หรือละทิ้ง อุดมการณ์แต่ประการใด ยังคงตั้งจิตมั่นที่จะฟื้นฟูและเผยแพร่สุวรรณโคมคำให้เป็นประโยชน์แก่มหาชน อย่างยั่งยืนสืบต่อไปอย่างแน่วแน่
ด้วยแรงจิตแรงใจเจตนานั้น ในที่สุดก็นำท่านให้ได้มาพบพระกรรมฐานสายป่า เป็นหลวงพ่อเจ้าอาวาสผู้ทรงคัมภีร์ฉบับสมบูรณ์
ซึ่งตั้งสำนักอยู่บนเขา ในจังหวัดกาญจนบุรี
โดยที่พระอาจารย์ไม่ทราบล่วงหน้ามาก่อนเลย เมื่อพระอาจารย์ได้ไปปฏิบัติกรรมฐาน
ณ สถานที่แห่งนั้น และได้ฟังธรรมของหลวงพ่อองค์ดังกล่าว
พระอาจารย์ก็รู้ได้ทันทีว่า นี่คือหลักธรรมแนวสุวรรณโคมคำของแท้อย่างยอดเยี่ยมแน่นอน
ช่างน่าอัศจรรย์จริง !
จากวิกฤตนำไปเชื่อมบุญพบรอยพระบาท
เมื่อท่านได้เข้าใกล้และได้สนทนากับหลวงพ่อองค์ดังกล่าว
หลวงพ่อก็บอกว่า ทำไมสูเพิ่งมาหาหลวงพ่อ หลวงพ่อรอสูมานับสิบ ๆ ปี แล้ว หลวงพ่อดีใจเป็นที่สุด
ที่หลวงพ่อได้เห็นบุคคลที่หาไม่ได้อีกแล้วอย่างสู ด้วยตาเนื้อของหลวงพ่อเอง
นึกว่าในชีวิตนี้ จะไม่ได้มีโอกาสพบบุคคลอย่างนี้เสียแล้ว
จากการอยู่ปฏิบัติกรรมฐาน
ศึกษาบำเพ็ญตนตามคำสอนในแนวสุวรรณโคมคำนั้น ในที่สุดพระอาจารย์ได้เชื่อมบุญสัมพันธ์
จนค้นพบรอยพระบาท โดยวิธีคำนวณและอธิษฐานจิตตามหลักของสุวรรณโคมคำ
และได้เปิดรอยพระบาทของสมเด็จพระมหาเถระศรีศรัทธาราชจุฬามุนีลงกาทีปมหาสวามี
ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนั้น โดยการสนับสนุนของหลวงพ่อเจ้าอาวาสนั่นเอง
(เพราะสมเด็จฯ ท่านเสด็จมา ณ สถานที่แห่งนี้ และได้ประทับรอยพระบาทไว้
เมื่อสมัยสมเด็จฯ ท่านยังมีชีวิตอยู่) ซึ่งตลอดเวลาที่อยู่ ณ สำนักแห่งนั้น
หลวงพ่อได้อบรมสอนสั่ง สนับสนุน และยกย่องพระอาจารย์เป็นอย่างมาก โดยกล่าวรับรองว่า
พระอาจารย์เป็นลูกหลานของสมเด็จฯ และเป็นเชื้อสายสุวรรณโคมคำอย่างแท้จริง
หลวงพ่อกล่าวอย่างปีติหลายครั้งว่า
ถ้าพ้นจากพระอาจารย์รูปนี้ ในสายวิชานี้ หลวงพ่อก็จะไม่มอง
ใครอีกชั่วชีวิต การที่หลวงพ่อกล่าวเช่นนี้ก็ต้องมีนัยยะสิ(หลวงพ่อย้ำอีก)
เมื่อได้อยู่ศึกษาบำเพ็ญอย่างอุกฤษณ์
ณ สถานที่แห่งนั้น พอสมควรแก่เวลาแล้ว หลวงพ่อก็บอกกับพระอาจารย์ว่า
บัดนี้ถึงเวลาแล้ว
ที่สูจะกลับไปตั้งสำนักสงฆ์ขึ้นในหุบเขาสุวรรณโคมคำเพื่อสานต่ออุดมการณ์อัน
เป็นมหาปณิธานนั้น แล้วพอสูไปถึงหุบเขาสุวรรณโคมคำ ขอให้สูตั้งจิตสำทับด้วยว่า
ด้วยบุญบารมีทั้งหมดที่สั่งสมมาทุกภพทุกชาติ ต่อสุวรรณโคมคำและพระพุทธศาสนา
ขอมอบกายถวายชีวิต เพื่อสืบต่อสุวรรณโคมคำ และพระพุทธศาสนา ณ หุบเขาสุวรรณโคมคำ
อันเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์อุดมมงคลยิ่งแห่งนี้ (ซึ่งพระอาจารย์เคยตั้งจิตเช่นนี้ไว้นานแล้ว
แต่หลวงพ่อท่านให้ตั้งจิตอธิษฐานสำทับอีกครั้งหนึ่ง) โดยให้นัยยะบางประการมาด้วย
เมื่อกลับมาตั้งสำนักสงฆ์ได้ไม่นาน
พระอาจารย์ก็ได้ค้นพบซากโบราณสถานในบริเวณสำนักสงฆ์ที่ตั้งขึ้นนั้น(เป็นเครื่องยืนยันให้ท่านทราบว่า
เป็นสถานที่สำคัญเพื่อการปฏิบัติกรรมฐานสืบอายุพระพุทธศาสนาต่อไป)
ซึ่งบางส่วนเป็นหินทราย ผู้รู้บางท่านสันนิษฐานว่า น่าจะเป็นโบสถ์โบราณที่มีความโบราณมากนับเป็นพันปี
ไม่แน่สมเด็จพระมหาเถระศรีศรัทธาฯ อาจจะเคยมาลงโบสถ์ทำสังฆกรรม ณ
สถานที่แห่งนี้ด้วยก็เป็นได้…
พลิกวิกฤตเป็นโอกาส
จากปัญหาที่พระอาจารย์ท่านประสพ
การถูกกล่าวหาโจมตี การปล่อยข่าวร้ายต่างๆ การออกแถลงการณ์ปลดประธานมูลนิธิฯ
โดยกรรมการมูลนิธิ การสูญเสียปริญญาเอกที่กำลังจะได้มา ฯลฯ มากมายถึงเพียงนี้
เพียงเพื่อต้องการจะตัดท่านออกจากการเป็นประธานมูลนิธิสุวรรณโคมคำ
และมีเจตนาเด่นชัดที่จะเข้าครอบครองมูลนิธิฯ เพื่อผลประโยชน์ทางการเรียนการสอนฯลฯ
หาได้มุ่งประโยชน์เพื่อชาวสุวรรณโคมคำและชาวพุทธทั้งปวงและเพื่อธรรมสถานฯล้ำค่าอันเป็นแหล่งรวมใจแต่อย่างใดไม่
หรือว่าปัญหาอุปสรรคนานับประการจะเป็นไปเพื่อให้พระอาจารย์
ได้มีวาสนาไปเชื่อมบุญสัมพันธ์ปฏิบัติธรรมศึกษาวิชากับหลวงพ่อผู้เป็นปรมาจารย์ต้นฉบับสุวรรณโคมคำตัวจริง
...เพื่อการก้าวไปอีกขั้นของดวงประทีปดวงเดียวที่ไม่เคยดับสูญ(คือสุวรรณโคมคำ)
เขาโกงเงินค่าก่อสร้างจากบัญชีมูลนิธิไปแบ่งกันแล้ว
เงินที่ได้มาทีหลังเหล่านี้ยังหายไปอย่างน่าสงสัยอีก
นี่เป็นคำสารภาพจากกรรมการมูลนิธิบางคนที่ทนเห็นพฤติกรรมชั่วร้ายของอาจารย์
ป. ไม่ได้อีกต่อไป จึงออกมาเปิดเผยข้อมูล
คอยดูผลงานกันว่า
เงินทำบุญเหล่านั้นจะได้ ตกถึงธรรมสถานสุวรรณาภา บ้างใหม ?
หรือจะเอาไปแบ่งปันบำรุงบำเรอกัน
ในกรุงเทพหมดอีก เพราะเงินของท่านคือความสุขกรรมการมูลนิธิ
ถ้าเรื่องนี้เป็นจริงคอยดูเถิดพวกมูลนิธิเขาจะต้องชักชวนทำบุญโน้น นี่
(มีมุข)มาชวนทำบุญ กับอีกหลายๆแห่ง ในหลายๆ
เรื่องเพื่อหาเงินมาแบ่งสนองกิเลส
โดยไม่จำเป็นต้องมีผลงานให้เห็นเพราะอ้างว่าเอาเงินไปทำบุญที่อืนแล้ว แล้วที่เคยกล่าวซะสวยหรูไว้ว่า
“พวกเขาเข้ามาเพื่อขจัดคน(พระ)ชั่ว รวมทั้งปกป้องผลประโยชน์ของส่วนรวมและปกป้องส่งเสริมมูลนิธิกับธรรมสถานให้รุ่งเรืองสืบไป”
แท้จริงก็เป็นเพียงข้ออ้างนะสิ !
ที่จริงแล้วเข้ามาเพื่อฮุบส่วนรวมไปสนองอำนาจและผลประโยชน์ของตนและพวกพ้องไช่ใหม
ตอนนี้คดีความต่างๆดำเนินไปถึงใหนแล้ว
?
เดิมทีพระอาจารย์(ฟ้องร้องไว้)
เบื้องต้น 5 คดีเพื่อให้ศาลไต่สวนและตัดสิน หากกระบวนการดำเนินไปได้ด้วยดีและจบลงอย่างกระจ่าง
ชัด ก็จะเป็น เป็นการทำเรื่องต่างๆให้ชัดเจน และนำความสุขสันติมาสู่สุวรรณโคมคำอีกครั้งหนึ่งได้ในที่สุด
แต่ต่อมากลับปรากฏว่า พวกแก๊งคนพาลนั้นได้ส่งคน ไปติดตาม กลั่นแกล้ง ปั่นป่วน
ทำลาย ขัดขวางพระอาจารย์ในที่ต่างๆเช่นสถานที่ ที่ท่านไปปฏิบัติกรรมฐานฯลฯ
โดยอ้างชื่อพระเถระใน กทม.ฯลฯ ไปขัดขวางข่มขู่พระสงฆ์ในท้องถิ่นนั้นๆเพื่อพยามให้
ยุติกระบวนการในศาลเสียเมื่อเป็นดังนั้นก็จำเป็นจะต้องฟ้องร้องคดีเพิ่มขึ้นอีกเพื่อใต่สวนหาความจริงให้ครบถ้วนให้จงได้ โดยไม่ย่อท้อต่ออำนาจอิทธพลและภัยพาลใดๆ
จึงได้ฟ้องร้องเพิ่มขึ้นอีก 3 คดี รวมเป็น 8 คดีโดยแบ่ง โดยแบ่งจำเลยออกเป็น 4 กลุ่มดังนี้ คือ
1. ผู้ไปกล่าวร้ายพระอาจารย์ที่ วัดยานฯ
จำนวน 2 คน
2
. กรรมการมูลนิธิ
จำนวน 6 รูป/คน
3
. พระสงฆ์วัดยานฯที่ร่วมกันใส่ร้ายพระอาจารย์
จำนวน 2 รูป
4
. มูลนิธิ ถูกช่างที่ก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้วแต่ยังไม่ได้รับเงิน
ฟ้องร้อง
หมายเหตุ:
โดยคดีแรกๆยังไม่ได้เริ่มการไต่สวน(ถูกเลื่อนออกไปก่อน)เพราะจำเลยอ้างว่าเขาหาทนายไม่ได้ฯลฯ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น