วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ใครโกงเงินมูนิธิไปทำอะไรบ้าง


ใครโกงเงินมูนิธิไปทำอะไร?
          เป็นประเด็นร้อน ที่ชาวศิษย์สุวรรณโคมคำที่ได้ตั้งคำถามในใจว่า เพราะเหตุใด จึงต้องมีการแตกแยกแบ่งขั่วออก เป็น 2 ฝ่าย ประเด็น แรกๆ ก็น่าจะเป็นการวางแผนช่วงชิงอำนาจของ อาจารย์ ป ที่ท่านมีความทะยานอยากในความยิ่งใหญ่และเงินทองลาภสักกระ พร้อมด้วยชื่อเสียงและเกียรติยศโดยการวางแผนขึ้นเป็นเจ้าสำนักเสียเอง  เมื่อผู้เขียนใตร่ตรองจากข้อมูลแล้วก็สรุปได้ว่า ว่าพวกเขาได้มีแผนการโค่นล้ม พระอาจารย์ อย่างแน่นอน เพราะมีศิษย์สุวรรณโคมคำหลายท่านยืนยันข้อมูลแบบนี้ โดยเฉพาะมีอยู่ท่านหนึ่งได้เล่าให้ผู้เขียนฟังถึงเรื่องราวที่ผ่านมา ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับพระอาจารย์และพวกเขามีแผนการณ์อย่างไรบ้าง การที่พวกเขานั้นได้เห็นพฤติกรรมที่ชั่วร้ายของ อาจารย์.ป ที่อ้างว่าจะเข้ามาปกป้องฟื้นฟูสุวรรณโคมคำและสุวรรณาภา พอศิษย์สุวรรณโคมคำได้เห็นภาพสุวรรณาภาหลาย ๆ ครั้งเข้า ทางอินเตอร์เนต ก็ทราบได้อย่างชัดเจนว่า พวกเขาโกง จริงๆ ดังนั้นศิษย์สุวรรณโคมคำคนดังกล่าวจึงเล่าที่มาที่ไปของเหตุการว่า อาจารย์ ป นั้น ได้วางแผนใส่ความเพื่อโค่นล้ม พระอาจารย์มานานแล้ว โดยเสนอว่า จะให้เงินก้อนโตแก่อาจารย์.อ  ,รวมถึง ศิษย์ผู้น้องของพระอาจารย์, และ คณะกรรมการที่ร่วมมือกับ อาจารย์.ป ก็จะได้รับส่วนแบ่งกันทุกทุกคน(โดยเอาเงินกองกลางของมูลนิธิมาหารแบ่งกัน) มีอยู่คำหนึ่งที่ทำให้ผู้เขียนตกใจเป็นอย่างมาก คือ อาจารย์ อ. ได้พูดกับแฟนเก่าของเขาว่า “บุญบาปฉันไม่ รู้จักแต่สิ่งใดที่ทำให้ฉันได้เงินฉันก็จะทำทั้งนั้น ”  แล้วก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงๆในกรณี คณะกรรมการ ได้ลาออก ยกแผง ก็เป็นเรื่องที่ไม่บังเอิญเสียแล้ว ก็แสดงได้ว่า อาจารย์ ป. และคณะกรรมการได้มีการเตรียมการเอาไว้แล้วตั้งแต่ต้นเพื่อโค่นล้มพระอาจารย์ อย่างแน่นอน.
            ประเด็นที่ สอง ในเรื่องของเงินๆทองๆ กรณีนี้น่าสงสัยใหญ่เพราะเนื่องจาก มูลนิธิ นั้นได้ค้างชำระค่าแทงก์น้ำบ่อบาดาล และ ค่าสร้างห้องน้ำที่สร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว ที่สุวรรณาภา(งวดสุดท้าย) จำนวนเงิน เกือบ 300,000 บาท โดยช่วงใกล้เคียงกันนั้น ศิษย์ผู้น้องของพระอาจารย์นั้นได้อ้างว่าต้องการความสงบจึงขอลาออกและไปปลีกวิเวกต่างจังหวัด นั่นก็เป็นการโกหกคำโต เพราะปัจจุบันนั้นท่านได้อยู่วัดใกล้ๆกับ มูลนิธิที่ย้ายไปตั้งใหม่(แสดงว่าวางแผนกันไว้ล่วงหน้าแล้ว)  ดังนั้นแล้วการกระทำดังกล่าวจึงส่อไปในทางทุจริตเพราะเหตุผลกลใด มูลนิธิ ทำไมไม่จ่ายค่าแทงก์น้ำสูง แล้วก็กลับบอกให้ บริษัทสิทธิยนต์ มาขนเอาแทงก์น้ำกลับไปในที่สุด เพราะเจ้าของบริษัทสิทธิยนต์ได้บอกว่า ศิษย์ผู้น้องของพระอาจารย์ได้มาบอกให้ บริษัทสิทธิยนต์ ขนแทงก์น้ำบ่อบาดาลคืนกลับไป โดยอ้างว่า มูลนิธิไม่มีเงิน เงินในบัญชีหมดแล้ว เราเป็นมูลนิธิจนๆ โดยสามีอาจารย์ ป รวมถึงศิษย์ผู้น้องนี้ได้ไปคุยแล้ว หลายหนซึ่งเจ้าของบริษัทก็ใจบุญตอบว่าถ้าอย่างนั้นก็จะลดราคาให้รวมถึงให้จ่ายผ่อนเป็นหลายๆงวดได้ มูลนิธิจะได้ไม่ลำบาก ศิษย์ผู้น้องและอาจารย์ ป กลับไม่พอใจ ศิษย์ผู้น้องจึงกลับไปอีกหนพร้อมกับกางสมุดบัญชีมูลนิธิให้ดูเลยว่าไม่มีเงินแล้วจริงๆให้ขนแทงก์น้ำกลับไปซะ เพราะไม่ได้ใช้อะไรอีกแล้วและไม่มีเงินแม้แต่ค่าขนย้ายจะจ่ายให้ ด้วย  นี่เป็นเครื่องบ่งชี้ อย่างชัดเจนว่า พวกเขาตั้งใจโกงเงินทำบุญจริงๆ ถ้าผู้อ่านไม่เชื่อ ก็ไปถามเจ้าของบริษัทสิทธิยนต์ดูก็ได้ ว่า เรื่องนี้จริงใหม  และขอให้คนทำบุญสร้างแทงก์น้ำบ่อบาดาลหรือห้องน้ำ ให้ไปขอดูบัญชี ตั้งแต่ กลางปี 2554 ถึง สิ้นปี 2554 (คือตั้งแต่พวกเขาแอบถอนอายัดเอาเงินไป) ของมูลนิธิ ว่าเงินหายไปใหน เอาไปทำอะไร  โดยผู้ที่ทำบุญ สร้างแทงก์น้ำบ่อบาดาล หรือ ทำบุญสร้างห้องน้ำ สามารถฟ้องร้องเอาผิดกับ คณะกรรมการชุดใหม่ได้...!ศิษย์ผู้น้องร่วมมือกันโกงเงินทำบุญของประชาชนไปเป็นของตนและพวกพ้องในทางธรรมถือเป็นความผิดอะไร ยังห่มเหลืองได้อีกหรือไม่ และในทางโลกเป็นความผิดกฏหมายกะทงใด ? ผู้อ่านลองตรองดูเถิด (ตอนนี้มูลนิธิใกล้ล่มสลายแล้ว เพราะพวกเขาแอบถอนเงินทุนจดทะเบียนออกมาใช้เป็นจำนวนมาก โดยหลักการแล้วเงินทุนจดทะเบียนนี้ห้ามนำออกมาใช้โดยประการใดๆ)
เขามีแผนลึกลับอะไรกับสุวรรณาภา!
            ดังที่กล่าวมาข้างต้น นั้นก็ยังไม่เพียงพอในการเปิดเผยความ ชั่วร้าย ของอาจารย์ ป.กับ กับพรรคพวก ก็ยังมีอีกบุคคลสำคัญที่ยังไม่ได้กล่าวถึง เพราะเหตุใด อาจารย์ ป. นั้นก็ยังมีแผนการที่ต้องการให้สุวรรณาภาหลุดลอย ออกจากการดูแลครอบครองของมูลนิธิ  เพราะข้อสังเกตุเรื่องแรก อาจารย์ ป. พอได้เป็นประธาน มูลนิธินั้นไม่ใส่ใจดูแล ธรรมสถานสุวรรณภา เลย ระยะแรกนั้นก็ปล่อยให้หญ้ารกท่วมหัว ประการที่สองนั้นได้มีการเอายาฆ่าหญ้ามาฉีดไปทั่วสุวรรณาภา พอหญ้าตาย ก็เอาไฟมาเผาซ้ำ ระยะที่ 3ก็ได้มีการเอาปุ๋ยเคมีมาไส่อีกซึ่งไม่ไช่วิธีการของเกษตรอินทรีย์  รวมถึงไม่มีการปฏิบัติธรรมและเผยแผ่ธรรมะใดๆ ตามโครงการและไม่มีการก่อสร้างบำรุงรักษา ถาวรวัตถุ ใดๆ ตามโครงการ 9 ปีของสุวรรณาภา ตามที่ยื่นขออนุมัติไว้กับ สปก. เลย หากปล่อยปละ ละเลย ดังที่พวกเขาทำ ดังนั้นแล้ว ธรรมสภานก็จะหลุดจากการครอบครองดูแลของมูลนิธิ ก็ต้องถามไปอีกว่า เพราะเหตุใด อาจารย์ ป จึงได้ทำอย่างนั้น ก็เพราะเป็นข้อตกลง กับ เจ๊ ท.(ผู้ที่ถวายที่ดินสร้างสุวรรณาภา)ว่า ถ้าช่วยกันไส่ความล้มพระอาจารย์ได้แล้ว เนี่ยก็จะให้ สุวรรณาภา เป็นการสมณาคุณ ที่ช่วยกันไส่ความและ กำจัด พระอาจารย์ แต่มูลนิธิจะยกให้โดยตรงไม่ได้ เพราะศิษย์สุวรรณโคมคำ บางกลุ่มเขารู้ทันเลห์เหลี่ยมเอาความจริงมาเปิดโปงว่า  เอ๊ะ ! ก็ได้ทุกอย่างไปแล้ว ทำไม มูลนิธิ ไม่ทำ ตามกติกา ที่ได้ตกลงกับ สปก. ว่าจะทำเกษตรอินทรีย์ สร้างความร่มรื่นให้สุวรรณาภา แล้วเหตุใด จึงปล่อยให้รกร้างเสียล่ะ นี่ก็ได้มูลนิธิไปก็พอสมควรแล้วยังไม่ดำเนินการสร้างสิ่งก่อสร้างสิ่งใดเลยสักอย่างในสุวรรณาภา แล้วเพราะเหตุใด เจ๊ ท. มีชื่ออยู่ในผ้าป่าใหญ่ประจำปี (สร้างภาพ) คราวนี้ ด้วย   มันช่างบังเอิญเสียจริงๆ มีผู้ยืนยันกันมาแล้วว่า เจ๊ ท. เนี่ยได้ไปคุยกับ หัวหน้า สปก จังหวัดพิษณุโลก ว่า เนื่องจาก สุวรรณาภาไม่มีคนดูแล จึงจะขอที่ดินคืนพร้อมสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดเป็นของตัวเอง  ก็บังเอิญไปประจวบเหมาะกับทางมูลนิธิที่ไม่ได้สร้างทำ สุวรรณาภาเลย ตั้งแต่กลางปี 2554 นั้น การก่อสร้างในสุวรรณาภาไม่มีอะไรคืบหน้า(ตามโครงการ 9 ปี) เลย แถมยังให้ขนแทงก์น้ำบ่อบาดาลออกไปอีก  นี่แสดงให้เห็นได้ชัดเลยว่า อาจารย์ ป.มีเจตนาปล่อยให้สมุนไพรตายฯลฯ  เพราะเขาขนแทงก์น้ำไปแล้ว ก็คือต้องการปล่อยสุวรรณาภา ให้หลุดลอย ออกไปเป็นของ เจ๊ ท. แน่นอน เพราะชาวสุวรรณโคมคำเห็นชัดเจนกับ 2 ตาเลยว่า สุวรรณาภา ไม่ก้าวหน้าไปใหนเลย และยังถดถอยเป็นอย่างมาก อีกด้วยมีแต่ผลงานเดิมของพระอาจารย์ที่ขวนขวายทำไว้เท่านั้น ที่กล่าวมานั้นก็ ได้ ข้อมูลยืนยันมาจากศิษย์สุวรรณโคมคำที่ได้ไปฟังเรื่องนี้จากปาก หัวหน้า สปก มาแล้วโดยตรงถ้าพวกคุณยังสงสัยให้ไปถามหัวหน้า สปก.พิษณุโลก ดูได้เลย ว่า เจ๊ ท.นั้นได้เข้าไปพูดคุยกับหัวหน้า สปก ว่าต้องการ สุวรรณาภา คืนจริง ๆ เพราะเหตุที่ว่ามูลนิธิ ปล่อยสุวรรณาภา รกร้างไร้คนดูแล ดังนั้นก็ควรไปพิสูจน์ด้วยตัวของท่านว่าสุวรรณาภาไม่ได้มีการพัฒนา เลยแม้แต่น้อย รอวัน จะให้ เจ๊ ท. มายึดสุวรรณาภาคืนจริงหรือไม่
 ผู้อ่านยังไม่ต้องเชื่อก็ได้ ลองติดตามดูหลังผ้าป่าใหญ่ เดือน มกราคม 2555 ว่าพวกเขาได้เงินทำบุญ แสนกว่าบาทไปแล้ว พวกเขาจะสร้างทำ สิ่งก่อสร้างใดๆในสุวรรณาภาเพิ่มบ้างใหม  ถ้าไม่สร้างทำ และดูแลอะไรเลยในธรรมสถานก็แสดงว่ามีแผนการเพื่อฮุบสุวรรณาภากันจริงๆ ซึ่งก่อนหน้านี้(กลางปี 2554)พวกเขาได้ทำหนังสือออกมาขายชุดละ ตั้ง1,500 บาท จำนวน 99 ชุดแล้วขอให้ชาวสุวรรณโคมคำช่วยกันซื้อด้วย โดยอ้างอย่างชัดเจนว่า เพื่อนำเงินไปบำรุงธรรมสถานสถวรรณาภา แถมจากนั้นยังได้เงินทำบุญจากมาเก๊า(ประเทศจีน)อีกด้วย แต่ก็ไม่เห็นธรรมสถานได้รับการดูแล หรือ สร้างทำอะไรเลย
เขาโกงเงินค่าก่อสร้างจากบัญชีมูลนิธิไปแบ่งกันแล้ว เงินที่ได้มาทีหลังเหล่านี้ยังหายไปอย่างน่าสงสัยอีก
 นี่เป็นคำสารภาพจากกรรมการมูลนิธิบางคนที่ทนเห็นพฤติกรรมชั่วร้ายของอาจารย์ ป. ไม่ได้อีกต่อไป จึงออกมาเปิดเผยข้อมูล
คอยดูผลงานกันว่า เงินทำบุญเหล่านั้นจะได้ ตกถึงธรรมสถานสุวรรณาภา บ้างใหม ?
หรือจะเอาไปแบ่งปันบำรุงบำเรอกัน ในกรุงเทพหมดอีก เพราะเงินของท่านคือความสุขกรรมการมูลนิธิ ถ้าเรื่องนี้เป็นจริงคอยดูเถิดพวกมูลนิธิเขาจะต้องชักชวนทำบุญโน้น นี่ (มีมุข)มาชวนทำบุญ กับอีกหลายๆแห่ง  ในหลายๆ เรื่องเพื่อหาเงินมาแบ่งสนองกิเลส โดยไม่จำเป็นต้องมีผลงานให้เห็นเพราะอ้างว่าเอาเงินไปทำบุญที่อืนแล้ว แล้วที่เคยกล่าวซะสวยหรูไว้ว่า “พวกเขาเข้ามาเพื่อขจัดคน(พระ)ชั่ว รวมทั้งปกป้องผลประโยชน์ของส่วนรวมและปกป้องส่งเสริมมูลนิธิกับธรรมสถานให้รุ่งเรืองสืบไป” แท้จริงก็เป็นเพียงข้ออ้างนะสิ ! ที่จริงแล้วเข้ามาเพื่อฮุบส่วนรวมไปสนองอำนาจและผลประโยชน์ของตนและพวกพ้องไช่ใหม
         






ตอนนี้คดีความต่างๆดำเนินไปถึงใหนแล้ว ?
เดิมทีพระอาจารย์(ฟ้องร้องไว้) เบื้องต้น 5 คดีเพื่อให้ศาลไต่สวนและตัดสิน หากกระบวนการดำเนินไปได้ด้วยดีและจบลงอย่างกระจ่าง ชัด ก็จะเป็น เป็นการทำเรื่องต่างๆให้ชัดเจน และนำความสุขสันติมาสู่สุวรรณโคมคำอีกครั้งหนึ่งได้ในที่สุด แต่ต่อมากลับปรากฏว่า พวกแก๊งคนพาลนั้นได้ส่งคน ไปติดตาม กลั่นแกล้ง ปั่นป่วน ทำลาย ขัดขวางพระอาจารย์ในที่ต่างๆเช่นสถานที่ ที่ท่านไปปฏิบัติกรรมฐานฯลฯ โดยอ้างชื่อพระเถระใน กทม.ฯลฯ ไปขัดขวางข่มขู่พระสงฆ์ในท้องถิ่นนั้นๆเพื่อพยามให้ ยุติกระบวนการในศาลเสียเมื่อเป็นดังนั้นก็จำเป็นจะต้องฟ้องร้องคดีเพิ่มขึ้นอีกเพื่อใต่สวนหาความจริงให้ครบถ้วนให้จงได้  โดยไม่ย่อท้อต่ออำนาจอิทธพลและภัยพาลใดๆ จึงได้ฟ้องร้องเพิ่มขึ้นอีก 3 คดี รวมเป็น 8 คดีโดยแบ่ง โดยแบ่งจำเลยออกเป็น  4 กลุ่มดังนี้ คือ
1. ผู้ไปกล่าวร้ายพระอาจารย์ที่ วัดยานฯ จำนวน 2 คน
2 . กรรมการมูลนิธิ จำนวน  6 รูป/คน
3 . พระสงฆ์วัดยานฯที่ร่วมกันใส่ร้ายพระอาจารย์ จำนวน 2 รูป
4 . มูลนิธิ ถูกช่างที่ก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้วแต่ยังไม่ได้รับเงิน ฟ้องร้อง

หมายเหตุ: โดยคดีแรกๆยังไม่ได้เริ่มการไต่สวน(ถูกเลื่อนออกไปก่อน)เพราะจำเลยอ้างว่าเขาหาทนายไม่ได้ฯลฯ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น