แถลงการณ์คณะศิษย์สุวรรณโคมคำ
ฉบับที่ 1
ตามที่พระอาจารย์ถูกกล่าวร้ายมากมายเกินกว่าความจริงเสมือนมิใช่มนุษย์ประดุจว่าหลุดมาจากนรก
อีกทั้งยังมีมติที่ประชุมของกรรมการมูลนิธิสุวรรณโคมคำเพื่อปลดพระอาจารย์จากตำแหน่งประธานมูลนิธิ
เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2553 ในบันทึกการประชุม
มีข้อความบางส่วนว่า “ได้ทราบข่าวและจากการพูดคุยกับพระปลัดวีรภัทร์ ปริมุตโต
ผู้ช่วยเจ้าอาวาสสวัดยานนาวา เลขานุการเจ้าคณะแขวงยานนาวา เขต 1 คณะกุฏิ 9
วัดยานนาวา เกี่ยวกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของพระอาจารย์
ประธานมูลนิธิสุวรรณโคมคำมีความเกี่ยวพันกับสีกาจำนวนหลายคนอย่างร้ายแรงทั้งทางกาย
วาจา ใจ... เมื่อทางวัดยานนาวาได้แต่งตั้งกรรมการสงฆ์เพื่อสืบหาข้อเท็จจริงแล้ว
มีมติให้พระอาจารย์ ลาสิกขาด้วยเหตุ ปฐมปาราชิกในหนังสือสุทธิ….” แท้จริงแล้วเรื่องมีอยู่ว่า มีผู้ส่งบัตรสนเท่ห์
กล่าวร้ายพระอาจารย์ไปที่วัดยานนาวา
แล้วพระอาจารย์ท่านต้องต่อสู้ข้อกล่าวหานั้นอย่างถึงที่สุด
เพราะท่านยืนยันมั่นคงว่าท่านไม่ได้ทำสิ่งอกุศลตามที่กล่าวหานั้น
แต่มีพระบางรูปกล่าวเป็นนัยทำนองว่า ถ้าพระอาจารย์ไม่ยอมลาสิกขาออกไปจากวัดยานาวาดีๆ
ก็จะร้องเรียนให้มหาเถรสมาคมยุบองค์กรสุวรรณโคมคำเสีย (วัดยานนาวาเป็นวัดใหญ่
มีอำนาจอยู่ในมหาเถรสมาคม) พระอาจารย์ตรึกตรองถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นแก่องค์กรแล้ว
จึงได้ตัดสินใจยอมเสียสละทุกอย่างรวมทั้งเสียสละตนแบกรับทุกข์ภัยทั้งปวง (ด้วยการลาสิกขาแล้วบวชใหม่เป็นพระภิกษุสังกัดมหานิกาย
เป็นพระธรรมดา โดยเริ่มนับพรรษา 1 ใหม่)
เพื่อปกป้องภัยอันจะมีแก่องค์กรสุวรรณโคมคำ แม้กระนั้นก็ยังถูกตามทำร้าย ขัดขวาง
ใส่ความ อย่างไม่หยุดหย่อน มีผลเสียกระทบถึงส่วนรวมของสุวรรณโคมคำ
ท่านจึงได้ลาสิกขาไปบวชใหม่เป็พระภิกษุสังกัดธรรมยุติกนิกายเพื่อจะได้เผยแพร่สุวรรณโคมคำได้อย่างปลอดโปร่งไม่มีอุปสรรค
และได้ไปปฏิบัติกรรมฐานที่จังหวัดกาญจนบุรี เป็นเวลาประมาณ 5 เดือนเต็ม
เพื่ออุทิศบุญและแผ่เมตตาให้แก่ผู้ที่ทำร้ายท่านและทำร้ายสุวรรณโคมคำ
แต่กระนั้นเรื่องต่างๆ ก็ไม่ได้ยุติ คนที่ทำร้ายก็ไม่ได้หยุดการกระทำ อีกทั้งมีบุคคลบางกลุ่มไปฟ้องเป็นคดีต่อศาลแขวงพระนครใต้ว่าพระอาจารย์ยักยอกทรัพย์ของมูลนิธิสุวรรณโคมคำ
ท่านจึงจำเป็นต้องออกมาต่อสู้ทางกฎหมายอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ ทั้งนี้ได้ขอออกหมายศาลเรียกพยานหลักฐานต่างๆ
ตามที่มีผู้กล่าวอ้างถึงจากพระภิกษุวัดยานนาวาที่ถูกระบุ (เพราะพระอาจารย์ได้ยินแต่ข่าวปล่อยออกมามากมายในทางร้ายแรง
แต่ท่านมิได้ประพฤติเช่นนั้น
ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ปล่อยข่าวและมีจุดประสงค์แท้จริงอย่างไร)
สุดท้ายพระภิกษุวัดยานนาวาได้มีจดหมายตอบศาลและแนบเอกสารมาดังนี้
1.
จดหมายปฏิเสธการรับรู้และการเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวจากพระสุธีธรรมนาท
เจ้าคณะเขตฯ
2.
สลักหลังหนังสือสุทธิของพระอาจารย์ส่งมาโดยพระปลัดวีระพัฒน์
เลขานุการเจ้าคณะเขตฯ (ตามเอกสารที่แนบมาข้างท้าย)
จากเอกสารดังกล่าว
ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า มิได้มีการสอบสวน / มีมติคณะสงฆ์วัดยานนาวาว่าพระอาจารย์ต้องอาบัติปฐมปาราชิกและถูกจับสึกด้วยอาบัติปฐมปาราชิก
โดยมีการสลักหลังหนังสือสุทธิของท่านว่าต้องอาบัติปฐมปาราชิกเป็นหลักฐานรองรับ
ตามข่าวที่ลือกันออกมาอย่างกว้างขวางแต่อย่างใด ซึ่งทำให้พระอาจารย์ได้รับความเสียหาย
ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชังรังเกียจจากสังคมเป็นอย่างมาก
เมื่อความจริงในเรื่องดังกล่าวปรากฏออกมาเป็นที่แน่นอนดังนี้แล้ว
ชาวสุวรรณโคมคำและสาธุชนทั้งหลายคงได้รับความกระจ่างขึ้นเป็นอันมากว่าเรื่องทั้งหลายเป็นเพียงข่าวลือและการแต่งเติมอย่างร้ายกาจมหาศาลของบุคคลบางคนหรือบางกลุ่มที่ประสงค์ร้ายต่อพระอาจารย์และสุวรรณโคมคำที่เพียงเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของตนก็สามารถกล่าวเท็จและสร้างเรื่องร้ายกาจได้
โดยไม่จำกัดวิธีการและไม่คำนึงถึงผลเสียใดๆ ต่อสุวรรณโคมคำและส่วนรวม
พวกเราลองถามใจตัวเองสิว่า
พวกเรากำลังทำร้ายปฐมาจารย์ (อาจารย์สุวรรณโคมคำคนแรก) ของพวกเราอยู่หรือเปล่า ?
และพวกเรากำลังทำลายทุกสิ่งที่ท่านยอมเสียสละอนาคตและแม้กระทั่งชีวิต
สร้างสรรค์และปกป้องฟื้นฟูสุวรรณโคมคำไว้ให้พวกเราตลอดมากันหรือเปล่า ?
คณะศิษย์สุวรรณโคมคำจึงขอเรียกร้องให้ชาวสุวรรณโคมคำและผู้รับข่าวสารทั้งหลายให้มีสติยั้งคิดและใช้ปัญญาอย่างรอบคอบอย่าได้หลงตกเป็นเหยื่อข่าวลือและตกเป็นเครื่องมือของคนพาลอย่างไม่รู้ตัวกันอีกต่อไปเลย
ถ้าศิษย์สุวรรณโคมคำได้รับข้อมูลเช่นนี้แล้ว
ขอให้ใช้วิจารญญาณและสติปัญญาอยู่ในพื้นฐานของความเป็นจริง เมื่อนั้นสุวรรณโคมคำก็จะกลับมาเจริญรุ่งเรืองเฟื่องฟูได้ดังปณิธานที่ตั้งไว้
ยังไม่สายที่จะยอมรับความจริง และกล่าวเรื่องที่ถูกต้องตามเอกสารหลักฐานที่ได้รับให้แก่ผู้คนที่ยังไม่ได้รับความจริงให้ได้รับรู้ข้อมูลที่ถูกต้องต่อๆไปในวงกว้างด้วยเถอะ
คณะศิษย์สุวรรณโคมคำ
คณะศิษย์สุวรรณโคมคำ
10 กรกฎาคม 2554
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น