แถลงการณ์คณะศิษย์สุวรรณโคมคำ
ฉบับที่ 2
สืบเนื่องมาจากการที่ “พระอาจารย์” ถูกกล่าวหาใส่ความอย่างมากมาย ล่าสุดมีการฟ้องร้อง
บีบคั้นจนท่านจำเป็นต้องออกมาต่อสู้ด้วยกระบวนการทางกฎหมายทั้งๆที่ท่านหลีกไปบำเพ็ญกรรมฐานหลายเดือนแล้ว เพราะไม่อยากให้เกิดภาพของการต่อสู้กันเองของชาวสุวรรณโคมคำ
อันจะเป็นผลเสียแก่สุวรรณโคมคำเองโดยส่วนรวม
ท่านถูกฟ้องร้องว่ายักยอกทรัพย์สินของมูลนิธิสุวรรณโคมคำ
โดยที่มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งได้แอบไปประชุมกันเอง แล้วร่วมกันปลดท่านออกจากตำแหน่งประธานมูลนิธิสุวรรณโคมคำ แล้วประสงค์จะเข้าครอบครองทรัพย์สิน เงินทอง
ฯลฯ ของสุวรรณโคมคำไว้เป็นของตนและพวกพ้องเท่านั้น
โดยได้ส่งหนังสือไปทวงทรัพย์สินและข้าวของๆมูลนิธิสุวรรณโคมคำจากท่าน
ทั้งที่จริงๆแล้วท่านไม่ได้เอาสิ่งใดไปเลย
ท่านได้เสียสละตลอดมา เมื่อท่านสละไป
ท่านก็ไปแต่ตัวมีเพียงบาตร จีวรและย่าม ๑ ใบเท่านั้น พวกเขาทำทีเหมือนทวงทรัพย์สินของมูลนิธิสุวรรณโคมคำเท่านั้น
โดยเขียนเอกสารแยกแยะเป็นข้อๆมาเป็นที่เรียบร้อย แต่แท้จริงแล้วโดยใจความ “ถ้าสังเกตดีๆ” จะเห็นว่าเขาหมายเอาทรัพย์สินทั้งหมดทุกสิ่งทุกอย่างแม้มิใช่ของมูลนิธิสุวรรณโคมคำ
หรือแม้กระทั่งของส่วนตัวของพระอาจารย์เอง เช่น คัมภีร์โบราณ ไม้เท้าหลวงปู่ศุข
ที่ครูบาอาจารย์ให้ไว้เป็นพิเศษก็ตาม โดยมุ่งจะฮุบทรัพย์สิ่งของทุกอย่างไว้เป็นของตนและพวกพ้องเท่านั้นซึ่งจะส่งผลให้สิ่งดีๆของสุวรรณโคมคำส่วนอื่นๆ
ที่ดีงามเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมและมหาชนสูญสิ้นไปหมด คงเหลือเพียงตนและพวกพ้องที่ครอบครอง
“สุวรรณโคมคำ”
เพียงกลุ่มเดียวโดยไร้คู่แข่ง
เพราะก่อนหน้านี้คนกลุ่มนี้เคยพาพรรคพวกพร้อมตำรวจมาข่มขู่ขับไล่ทีมงานที่ช่วยกันดำรงองค์กรและวิชาสุวรรณโคมคำ
ให้เผยแพร่ต่อไปได้ด้วยดี มิให้สูญสิ้น แม้ต้องเผชิญความยากลำบากสักเพียงใดก็ตาม
แต่คนพวกนั้นกลับมาขับไล่ด้วยความโลภโมโทสันอันธพาล ทำท่าทีคุกคาม ข่มขู่ ขับไล่
ทำท่าทางจะชกต่อยเพื่อให้เกิดความหวาดกลัวแล้วหลีกหนีไป
เมื่อทีมงานที่บริสุทธิ์ใจเหล่านั้นไม่เกรงกลัวต่อภัยพาล
และการแกล้งข่มขู่ทางกฎหมายอันมิชอบ ยังคงมุ่งมั่นเสียสละด้วยใจบริสุทธิ์ต่อไป
จึงทำให้คนกลุ่มนั้นทำหนังสือส่งไปที่ชมรมฯรวมถึงที่บ้านคุณอาในกรุงเทพฯ
ซึ่งมีชื่อท่านอยู่ในทะเบียนบ้าน
และบ้านคุณแม่ของท่านซึ่งเป็นบ้านเกิดของท่านที่ชัยนาท
แต่พอพระอาจารย์ได้ทราบเนื้อหาของเอกสารแล้ว
ก็รู้ทันว่าเขาประสงค์จะฮุบสุวรรณโคมคำไปทั้งหมดไม่ได้ประสงค์ดีต่อส่วนรวมดังกล่าวอ้างเลย
จึงนิ่งเฉยเสีย
ที่จริงก่อนไปบำเพ็ญกรรมฐาน พระอาจารย์ท่านประกาศพักใหญ่แล้วว่า
ให้เหล่าศิษย์สุวรรณโคมคำที่เสียสละจริงใจและเห็นคุณค่าของวิชาสุวรรณโคมคำมารวมตัวกันสามัคคีสืบทอดองค์กรและวิชาสืบไปไม่ให้สูญหาย
เพราะท่านเสียสละสร้างสรรค์
ฟื้นฟูทุกสิ่งมาก็เพื่อมอบให้แก่ศิษย์สุวรรณโคมคำทั้งหลายรับไปนั่นแล
แต่คนเหล่านี้กลับเพิกเฉยเสีย
แล้วมาบัดนี้กลับแสดงความพาลจะฮุบเอาทั้งหมดโดยไม่สนใจส่วนรวมหรือใครเลย
ซึ่งจะมีผลให้สุวรรณโคมคำแปรเปลี่ยนไปเป็นอกุศลโดยสิ้นเชิงและสูญสิ้นไปในที่สุด
สุดท้ายเมื่อไม่ได้ดังประสงค์
พวกเขาจึงฟ้องร้องด้วยข้อกล่าวหาดังกล่าว
ทำทีเหมือนหวังดีต่อส่วนรวมของสุวรรณโคมคำแต่ก็แอบแฝงไปด้วยเลศนัยและเล่ห์กลอันธพาลมากมาย
พระอาจารย์นั้น
ทั้งๆ ที่ท่านไม่ได้ครอบครองทรัพย์สมบัติส่วนรวมใดๆของสุวรรณโคมคำเลย
ก็จำเป็นต้องออกมาจัดการเรื่องนี้ให้สำเร็จเรียบร้อยไปด้วยดี เพื่อส่วนรวมของสุวรรณโคมคำ
เมื่อได้ไปพบกันในที่ไกล่เกลี่ย พระอาจารย์ท่านก็ยืนหยัดปกป้องส่วนรวมของสุวรรณโคมคำโดยท่านยืนยันหนักแน่นตามความเป็นจริงว่า
สุวรรณโคมคำทุกส่วนล้วนมีคุณค่ามากและเป็นประโยชน์ดีงามแก่ส่วนรวมทั้งสิ้น
ทั้งนี้ต้องเจรจากันบนพื้นฐานที่ว่า “ จะทำอย่างไร ? ”
ให้ทุกส่วนของสุวรรณโคมคำ เช่น ชมรมฯ มูลนิธิฯ และ ธรรมสถานสุวรรณาภา
อยู่รอด หลุดพ้นจากปัญหา และยั่งยืนต่อไปได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต จึงจะคุยด้วย
ทุกครั้งที่มีการเจรจาไกล่เกลี่ย
พวกเขาไม่สามารถโต้แย้งความเป็นจริงที่พระอาจารย์ท่านกล่าวได้เลย
แม้กระนั้นพวกเขาก็พยายามแย้งเอาทุกวิถีทาง
เพราะพวกเขายึดมูลนิธิสุวรรณโคมคำได้แล้ว
ก็คิดจะยึดเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปเป็นของตนและพวกพ้อง
โดยมีเจตนาแอบแฝงเพื่อขจัดพระอาจารย์และส่วนอื่นๆของสุวรรณโคมคำให้หมดสิ้นไป
แต่ก็ไม่อาจสู้เหตุผลและความเป็นจริงที่ท่านนำมากล่าวได้
เพราะท่านนำพาทำมาเองทั้งนั้นด้วยใจบริสุทธิ์จริง ที่ท่านสู้ยอมอดทนเจรจากับคนพาล
ก็เพราะเห็นแก่ “ส่วนรวม” ของสุวรรณโคมคำ
จนในที่สุดพวกเขาก็ต้อง“ถอนฟ้อง”พระอาจารย์เอง เพราะพระอาจารย์ท่านไม่ได้ทำผิดอะไร
แต่ก่อนที่การเจรจาจะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ เกือบจะถึงกำหนดที่จะถอนฟ้องแล้ว
พระอาจารย์ท่านได้ไปดำเนินการแจ้งความ “ข้อหาหมิ่นประมาท”ไว้
เพื่อเป็นการยืดอายุความ (เพราะกำลังจะหมดอายุความ 3 เดือน) เนื่องจากพระอาจารย์เริ่มเห็นแล้วว่า
หน้าฉากกับหลังฉากของพวกเขาต่างกันอย่างน่าตกใจ
จึงยืดอายุความไว้ก่อนเพื่อความไม่ประมาท
พอพวกเขาได้รับรู้ว่ามีการแจ้งความข้อหานี้
ก็ดิ้นรนทุรนทุรายอย่างมากขวนขวายเพื่อให้พระอาจารย์ถอนแจ้งความท่าเดียว
ทั้งๆที่พระอาจารย์ท่านไม่ได้ต้องการจะเอาใครเข้าคุกตารางหรอก เพียงแต่ต้องการให้นำเรื่องราวที่เกิดขึ้นอันเป็นปัญหาเรื้อรังมานานเข้ามาพูดกันในศาลเพราะเรื่องต่างๆมันจะได้จบอย่างแจ่มกระกระจ่างที่ศาล
มานำเสนอข้อมูลกันในศาล อย่าไปพูดกันข้างนอกอีกต่อไป
แล้วจะได้ไต่สวนทุกเรื่องอย่างเป็นระบบ อย่างเป็นธรรม อะไร“ใช่-ไม่ใช่” อะไร“ผิดหรือถูก” จะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนกันเสียที
เรื่องต่างๆจะได้กระจ่างแจ้ง ไม่หวนเกิดปัญหากับสุวรรณโคมคำต่อไปในระยะยาวได้อีก
นี้คือวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดให้แก่ส่วนรวมของสุวรรณโคมคำ
แต่พวกเขากลับร้อนรนมาก
พยายามดิ้นรนทุกวิถีทางมุ่งให้ถอนแจ้งความท่าเดียวเท่านั้น
โดยไม่สนใจความชัดเจนใดๆเพื่อส่วนรวมเลย แถมนำเอาการถอนฟ้องมาเป็นข้อต่อรอง(ทั้งๆที่เป็นคนละเรื่อง
คนละคดี ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน) โดยไม่สนใจผลที่จะเกิดขึ้นกับส่วนรวมเลย
โดยพวกเขาเคยอ้างไว้ว่า “ออกมาเปิดโปงคนชั่วเพื่อไม่ให้ทำความชั่ว หรือหลอกลวงผู้คนและทำร้ายส่วนรวมของสุวรรณโคมคำได้อีก” ซึ่งจะเป็นเช่นนั้นจริงหรือ ?
เพราะการดิ้นรนดังกล่าวอันที่จริงเป็นไปเพื่อมิให้ความจริงถูกเปิดเผยซะมากกว่ากระมัง
บรรดาพวกเราทั้งหลายหากได้คลุกคลีติดตามเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาโดยตลอด
ก็จะรู้ว่า ใคร? หรือกลุ่มใด? เป็นผู้กระทำ
หรืออยู่เบื้องหลังการกระทำนั้นๆมาโดยตลอด พวกเขายืนยันหนักแน่นตลอดมา
ทำแม้กระทั่งอ้าง “บูรพาจารย์เบื้องบน” “อ้างฤทธิ์” “อ้างฌาณ” ต่างๆ
นาๆมายืนยัน
ทำทุกวิถีทางเพื่อโค่นล้มพระอาจารย์
แล้วตั้งตนขึ้นมายึดครองสุวรรณโคมคำเพื่อทำการแทน
โดยกล่าวอ้างว่า “เพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์ของสุวรรณโคมคำ”
แต่ในเอกสารที่ปรากฏกลับกล่าวตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง
เพราะในที่ไกล่เกลี่ย พอเห็นว่าเรื่องแดงออกมาแล้วเพราะพระเถระในวัดยานนาวาทำหนังสือมาปฏิเสธคำกล่าวอ้างของพวกเขาอย่างชัดเจน(ดังเอกสารที่แนบท้ายแถลงการณ์ฉบับที่1)
จนความผิดความชั่วต่างๆกำลังย้อนกลับมาเข้าตน พวกเขาก็กลับไม่รับผิดชอบและโยนความผิดให้ผู้อื่นได้อย่างหน้าตาเฉย
โดยไม่คำนึงถึงมโนธรรม ความถูกต้อง หรือความเป็นจริงใดๆเลย
เขาก็แค่บอกว่าเขาขอโทษ แต่“เขาเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร”ได้แค่นี้ เขาเขียนคำขอโทษโดยตรงไม่ได้หรอก เพราะว่าถ้าทำอย่างนั้นเขาและพรรคพวกจะต้องติดคุกกันหมด ทั้งๆที่พระอาจารย์ ได้กล่าวย้ำแล้วว่า
ท่านไม่มีความประสงค์จะให้ใครต้องเข้าคุก และท่านไม่ประสงค์จะเอาตำแหน่งคืนด้วย
เพียงแต่หากรู้สำนึกแล้ว อยากให้เขียน“คำขอโทษ”และกล่าวขอขมาให้เป็นกิจจะลักษณะเป็นเรื่องเป็นราว เพื่อให้ชาวสุวรรณโคมคำทั้งปวงได้รับรู้รับทราบความจริงที่เกิดขึ้นอย่างถูกต้อง
ปัญหาทั้งหลายที่ผ่านๆมาจะได้หมดไป ส่วนรวมจะได้สงบสุขกันเสียที พระอาจารย์ท่านบอกให้พวกเขาดูแลมูลนิธิฯและธรรมสถานฯตามปณิธานเดิมตั้งแต่ก่อตั้งให้จงดี
และอย่าให้สูญสลายไป ส่วนพระอาจารย์เองก็จะต้องทำสำนักสงฆ์เพื่อสุวรรณโคมคำต่อไปแล้วเช่นกัน
พวกเขาก็รับปากด้วยดี แต่ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ไม่ยอมทำตามข้อตกลงที่บันทึกกันไว้(เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม)
ได้แต่ใช้เล่ห์กลทุกวิถีทางเพื่อกลบเกลื่อนความผิดของตน โดยไม่คำนึงถึงสิ่งถูก
สิ่งผิด สิ่งดี สิ่งชั่ว คุณธรรมและความเป็นจริงใดๆ เลย กลับใช้อุบายต่ำช้าทุกอย่าง
เพียงเพื่ออต้องการให้เกิดการถอนแจ้งความเท่านั้น
เพื่อเหล่าศิษย์ทั้งปวงและส่วนรวมของสุวรรณโคมคำ
พระอาจารย์จึงจำเป็นต้องดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายกับพวกเขาต่อไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
และจะต้องฟ้องร้องพวกเขาเพิ่มอีกหลายคดี
เนื่องจากพวกเขาก่อกรรมทำเข็ญไว้หนักหนาในหลายที่หลายแห่งต่างกรรมต่างวาระกันมากมายนัก
เพราะจนบัดนี้พวกเขาก็ยังไม่คำนึงถึงส่วนรวมใดๆ และไม่ยอมจบปัญหาที่พวกเขาก่อกันไว้
ให้เกิดความชัดเจน กระจ่าง แจ่มแจ้งไร้ข้อกังขา หากปล่อยไว้ชาวสุวรรณโคมคำเราก็จะถูกหยิบยกสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาโจมตีตลอดไปไม่รู้จบสิ้นทั้งชีวิต
ไม่เป็นผลดีทั้งแก่พระอาจารย์และสุวรรณโคมคำ ตลอดถึงเหล่าศิษย์โดยรวม จึงจำเป็นต้องพึ่งกระบวนการทางกฎหมายในเรื่องดังกล่าวให้เด็ดขาดไป
ทั้งนี้พระอาจารย์ท่านไม่ประสงค์จะทำให้ผู้หนึ่งผู้ใดต้องติดคุกติดตารางเลย
เพียงแต่ขอให้ใครที่หลงผิดไปแล้ว มา“ขอขมาพระอาจารย์”
ด้วยความสำนึกผิดและจริงใจ พระอาจารย์ก็จะยกโทษให้ทันที เพราะล้วนเป็นลูกศิษย์พระอาจารย์กันทั้งนั้น
ที่จริงพระอาจารย์ไม่ได้ถือสาอะไรใคร
เพียงแต่หาทางที่ดีที่สุดเพื่อจะจบปัญหาให้ส่วนรวมอย่างยั่งยืนเท่านั้น แต่คนเหล่านั้นยังไม่สำนึกยังมีความโลภโมโทสันและเห็นแก่ตัวอย่างเดียวเท่านั้น
คิดหวังแต่ผลประโยชน์และปกปิดความเป็นจริง พยายามปิดหูปิดตาชาวสุวรรณโคมคำ
มุ่งบิดเบือนข้อเท็จจริงต่างๆเพื่อให้ตนและพรรคพวกพ้นจากการเสียหน้าและการติดคุกถ่ายเดียว
อันจะส่งผลเสียอย่างร้ายแรงต่อส่วนรวมมิรู้จบสิ้น ดังที่พระอาจารย์เคยกล่าวไว้บ่อยๆ
ว่า “สิ่งที่คนชั่วกลัวที่สุด คือ กลัวว่าคนอื่นจะรู้ว่าตัวเองชั่ว”
ถ้าเป็นเช่นนั้น
พระอาจารย์ก็จำเป็นต้องดำเนินการตามกฎหมายต่อไปอย่างเด็ดขาด จนกว่าพวกเขาจะต้องรับกรรมที่ก่อไว้ เพื่อให้ส่วนรวมของสุวรรณโคมคำได้พบแสงสว่างอีกครั้ง
คณะศิษย์สุวรรณโคมคำ
17
ตุลาคม 2554
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น