วันพุธที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2556

แถลงการณ์ฉบับที่ 2


แถลงการณ์คณะศิษย์สุวรรณโคมคำ ฉบับที่ 2

สืบเนื่องมาจากการที่ พระอาจารย์ ถูกกล่าวหาใส่ความอย่างมากมาย ล่าสุดมีการฟ้องร้อง บีบคั้นจนท่านจำเป็นต้องออกมาต่อสู้ด้วยกระบวนการทางกฎหมายทั้งๆที่ท่านหลีกไปบำเพ็ญกรรมฐานหลายเดือนแล้ว  เพราะไม่อยากให้เกิดภาพของการต่อสู้กันเองของชาวสุวรรณโคมคำ อันจะเป็นผลเสียแก่สุวรรณโคมคำเองโดยส่วนรวม
ท่านถูกฟ้องร้องว่ายักยอกทรัพย์สินของมูลนิธิสุวรรณโคมคำ โดยที่มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งได้แอบไปประชุมกันเอง แล้วร่วมกันปลดท่านออกจากตำแหน่งประธานมูลนิธิสุวรรณโคมคำ  แล้วประสงค์จะเข้าครอบครองทรัพย์สิน เงินทอง ฯลฯ ของสุวรรณโคมคำไว้เป็นของตนและพวกพ้องเท่านั้น โดยได้ส่งหนังสือไปทวงทรัพย์สินและข้าวของๆมูลนิธิสุวรรณโคมคำจากท่าน ทั้งที่จริงๆแล้วท่านไม่ได้เอาสิ่งใดไปเลย
ท่านได้เสียสละตลอดมา เมื่อท่านสละไป ท่านก็ไปแต่ตัวมีเพียงบาตร จีวรและย่าม ๑ ใบเท่านั้น พวกเขาทำทีเหมือนทวงทรัพย์สินของมูลนิธิสุวรรณโคมคำเท่านั้น โดยเขียนเอกสารแยกแยะเป็นข้อๆมาเป็นที่เรียบร้อย แต่แท้จริงแล้วโดยใจความ ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่าเขาหมายเอาทรัพย์สินทั้งหมดทุกสิ่งทุกอย่างแม้มิใช่ของมูลนิธิสุวรรณโคมคำ หรือแม้กระทั่งของส่วนตัวของพระอาจารย์เอง เช่น คัมภีร์โบราณ ไม้เท้าหลวงปู่ศุข ที่ครูบาอาจารย์ให้ไว้เป็นพิเศษก็ตาม โดยมุ่งจะฮุบทรัพย์สิ่งของทุกอย่างไว้เป็นของตนและพวกพ้องเท่านั้นซึ่งจะส่งผลให้สิ่งดีๆของสุวรรณโคมคำส่วนอื่นๆ ที่ดีงามเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมและมหาชนสูญสิ้นไปหมด คงเหลือเพียงตนและพวกพ้องที่ครอบครอง สุวรรณโคมคำ เพียงกลุ่มเดียวโดยไร้คู่แข่ง
                    เพราะก่อนหน้านี้คนกลุ่มนี้เคยพาพรรคพวกพร้อมตำรวจมาข่มขู่ขับไล่ทีมงานที่ช่วยกันดำรงองค์กรและวิชาสุวรรณโคมคำ ให้เผยแพร่ต่อไปได้ด้วยดี มิให้สูญสิ้น แม้ต้องเผชิญความยากลำบากสักเพียงใดก็ตาม แต่คนพวกนั้นกลับมาขับไล่ด้วยความโลภโมโทสันอันธพาล ทำท่าทีคุกคาม ข่มขู่ ขับไล่ ทำท่าทางจะชกต่อยเพื่อให้เกิดความหวาดกลัวแล้วหลีกหนีไป
เมื่อทีมงานที่บริสุทธิ์ใจเหล่านั้นไม่เกรงกลัวต่อภัยพาล และการแกล้งข่มขู่ทางกฎหมายอันมิชอบ ยังคงมุ่งมั่นเสียสละด้วยใจบริสุทธิ์ต่อไป จึงทำให้คนกลุ่มนั้นทำหนังสือส่งไปที่ชมรมฯรวมถึงที่บ้านคุณอาในกรุงเทพฯ ซึ่งมีชื่อท่านอยู่ในทะเบียนบ้าน และบ้านคุณแม่ของท่านซึ่งเป็นบ้านเกิดของท่านที่ชัยนาท แต่พอพระอาจารย์ได้ทราบเนื้อหาของเอกสารแล้ว ก็รู้ทันว่าเขาประสงค์จะฮุบสุวรรณโคมคำไปทั้งหมดไม่ได้ประสงค์ดีต่อส่วนรวมดังกล่าวอ้างเลย จึงนิ่งเฉยเสีย
                  ที่จริงก่อนไปบำเพ็ญกรรมฐาน พระอาจารย์ท่านประกาศพักใหญ่แล้วว่า ให้เหล่าศิษย์สุวรรณโคมคำที่เสียสละจริงใจและเห็นคุณค่าของวิชาสุวรรณโคมคำมารวมตัวกันสามัคคีสืบทอดองค์กรและวิชาสืบไปไม่ให้สูญหาย เพราะท่านเสียสละสร้างสรรค์ ฟื้นฟูทุกสิ่งมาก็เพื่อมอบให้แก่ศิษย์สุวรรณโคมคำทั้งหลายรับไปนั่นแล
                        แต่คนเหล่านี้กลับเพิกเฉยเสีย แล้วมาบัดนี้กลับแสดงความพาลจะฮุบเอาทั้งหมดโดยไม่สนใจส่วนรวมหรือใครเลย ซึ่งจะมีผลให้สุวรรณโคมคำแปรเปลี่ยนไปเป็นอกุศลโดยสิ้นเชิงและสูญสิ้นไปในที่สุด
                           สุดท้ายเมื่อไม่ได้ดังประสงค์ พวกเขาจึงฟ้องร้องด้วยข้อกล่าวหาดังกล่าว ทำทีเหมือนหวังดีต่อส่วนรวมของสุวรรณโคมคำแต่ก็แอบแฝงไปด้วยเลศนัยและเล่ห์กลอันธพาลมากมาย
                           พระอาจารย์นั้น ทั้งๆ ที่ท่านไม่ได้ครอบครองทรัพย์สมบัติส่วนรวมใดๆของสุวรรณโคมคำเลย ก็จำเป็นต้องออกมาจัดการเรื่องนี้ให้สำเร็จเรียบร้อยไปด้วยดี  เพื่อส่วนรวมของสุวรรณโคมคำ
เมื่อได้ไปพบกันในที่ไกล่เกลี่ย พระอาจารย์ท่านก็ยืนหยัดปกป้องส่วนรวมของสุวรรณโคมคำโดยท่านยืนยันหนักแน่นตามความเป็นจริงว่า สุวรรณโคมคำทุกส่วนล้วนมีคุณค่ามากและเป็นประโยชน์ดีงามแก่ส่วนรวมทั้งสิ้น ทั้งนี้ต้องเจรจากันบนพื้นฐานที่ว่า จะทำอย่างไร ? ให้ทุกส่วนของสุวรรณโคมคำ เช่น ชมรมฯ มูลนิธิฯ และ ธรรมสถานสุวรรณาภา อยู่รอด หลุดพ้นจากปัญหา และยั่งยืนต่อไปได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต จึงจะคุยด้วย
ทุกครั้งที่มีการเจรจาไกล่เกลี่ย พวกเขาไม่สามารถโต้แย้งความเป็นจริงที่พระอาจารย์ท่านกล่าวได้เลย แม้กระนั้นพวกเขาก็พยายามแย้งเอาทุกวิถีทาง เพราะพวกเขายึดมูลนิธิสุวรรณโคมคำได้แล้ว ก็คิดจะยึดเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปเป็นของตนและพวกพ้อง โดยมีเจตนาแอบแฝงเพื่อขจัดพระอาจารย์และส่วนอื่นๆของสุวรรณโคมคำให้หมดสิ้นไป แต่ก็ไม่อาจสู้เหตุผลและความเป็นจริงที่ท่านนำมากล่าวได้ เพราะท่านนำพาทำมาเองทั้งนั้นด้วยใจบริสุทธิ์จริง ที่ท่านสู้ยอมอดทนเจรจากับคนพาล ก็เพราะเห็นแก่ ส่วนรวม ของสุวรรณโคมคำ
                           จนในที่สุดพวกเขาก็ต้องถอนฟ้องพระอาจารย์เอง เพราะพระอาจารย์ท่านไม่ได้ทำผิดอะไร แต่ก่อนที่การเจรจาจะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ เกือบจะถึงกำหนดที่จะถอนฟ้องแล้ว พระอาจารย์ท่านได้ไปดำเนินการแจ้งความ ข้อหาหมิ่นประมาทไว้ เพื่อเป็นการยืดอายุความ (เพราะกำลังจะหมดอายุความ 3 เดือน) เนื่องจากพระอาจารย์เริ่มเห็นแล้วว่า หน้าฉากกับหลังฉากของพวกเขาต่างกันอย่างน่าตกใจ จึงยืดอายุความไว้ก่อนเพื่อความไม่ประมาท
                           พอพวกเขาได้รับรู้ว่ามีการแจ้งความข้อหานี้ ก็ดิ้นรนทุรนทุรายอย่างมากขวนขวายเพื่อให้พระอาจารย์ถอนแจ้งความท่าเดียว ทั้งๆที่พระอาจารย์ท่านไม่ได้ต้องการจะเอาใครเข้าคุกตารางหรอก เพียงแต่ต้องการให้นำเรื่องราวที่เกิดขึ้นอันเป็นปัญหาเรื้อรังมานานเข้ามาพูดกันในศาลเพราะเรื่องต่างๆมันจะได้จบอย่างแจ่มกระกระจ่างที่ศาล มานำเสนอข้อมูลกันในศาล  อย่าไปพูดกันข้างนอกอีกต่อไป แล้วจะได้ไต่สวนทุกเรื่องอย่างเป็นระบบ อย่างเป็นธรรม อะไรใช่-ไม่ใช่ อะไรผิดหรือถูก จะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนกันเสียที เรื่องต่างๆจะได้กระจ่างแจ้ง ไม่หวนเกิดปัญหากับสุวรรณโคมคำต่อไปในระยะยาวได้อีก นี้คือวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดให้แก่ส่วนรวมของสุวรรณโคมคำ
แต่พวกเขากลับร้อนรนมาก พยายามดิ้นรนทุกวิถีทางมุ่งให้ถอนแจ้งความท่าเดียวเท่านั้น โดยไม่สนใจความชัดเจนใดๆเพื่อส่วนรวมเลย แถมนำเอาการถอนฟ้องมาเป็นข้อต่อรอง(ทั้งๆที่เป็นคนละเรื่อง คนละคดี ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน) โดยไม่สนใจผลที่จะเกิดขึ้นกับส่วนรวมเลย โดยพวกเขาเคยอ้างไว้ว่า ออกมาเปิดโปงคนชั่วเพื่อไม่ให้ทำความชั่ว หรือหลอกลวงผู้คนและทำร้ายส่วนรวมของสุวรรณโคมคำได้อีก ซึ่งจะเป็นเช่นนั้นจริงหรือ ?   เพราะการดิ้นรนดังกล่าวอันที่จริงเป็นไปเพื่อมิให้ความจริงถูกเปิดเผยซะมากกว่ากระมัง
                           บรรดาพวกเราทั้งหลายหากได้คลุกคลีติดตามเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาโดยตลอด ก็จะรู้ว่า ใคร? หรือกลุ่มใด? เป็นผู้กระทำ หรืออยู่เบื้องหลังการกระทำนั้นๆมาโดยตลอด พวกเขายืนยันหนักแน่นตลอดมา ทำแม้กระทั่งอ้าง บูรพาจารย์เบื้องบน อ้างฤทธิ์ อ้างฌาณ ต่างๆ นาๆมายืนยัน  ทำทุกวิถีทางเพื่อโค่นล้มพระอาจารย์ แล้วตั้งตนขึ้นมายึดครองสุวรรณโคมคำเพื่อทำการแทน  โดยกล่าวอ้างว่า เพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์ของสุวรรณโคมคำ
                        แต่ในเอกสารที่ปรากฏกลับกล่าวตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง เพราะในที่ไกล่เกลี่ย พอเห็นว่าเรื่องแดงออกมาแล้วเพราะพระเถระในวัดยานนาวาทำหนังสือมาปฏิเสธคำกล่าวอ้างของพวกเขาอย่างชัดเจน(ดังเอกสารที่แนบท้ายแถลงการณ์ฉบับที่1) จนความผิดความชั่วต่างๆกำลังย้อนกลับมาเข้าตน พวกเขาก็กลับไม่รับผิดชอบและโยนความผิดให้ผู้อื่นได้อย่างหน้าตาเฉย โดยไม่คำนึงถึงมโนธรรม ความถูกต้อง หรือความเป็นจริงใดๆเลย
เขาก็แค่บอกว่าเขาขอโทษ แต่เขาเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรได้แค่นี้ เขาเขียนคำขอโทษโดยตรงไม่ได้หรอก เพราะว่าถ้าทำอย่างนั้นเขาและพรรคพวกจะต้องติดคุกกันหมด ทั้งๆที่พระอาจารย์ ได้กล่าวย้ำแล้วว่า ท่านไม่มีความประสงค์จะให้ใครต้องเข้าคุก และท่านไม่ประสงค์จะเอาตำแหน่งคืนด้วย เพียงแต่หากรู้สำนึกแล้ว อยากให้เขียนคำขอโทษและกล่าวขอขมาให้เป็นกิจจะลักษณะเป็นเรื่องเป็นราว เพื่อให้ชาวสุวรรณโคมคำทั้งปวงได้รับรู้รับทราบความจริงที่เกิดขึ้นอย่างถูกต้อง ปัญหาทั้งหลายที่ผ่านๆมาจะได้หมดไป ส่วนรวมจะได้สงบสุขกันเสียที พระอาจารย์ท่านบอกให้พวกเขาดูแลมูลนิธิฯและธรรมสถานฯตามปณิธานเดิมตั้งแต่ก่อตั้งให้จงดี และอย่าให้สูญสลายไป ส่วนพระอาจารย์เองก็จะต้องทำสำนักสงฆ์เพื่อสุวรรณโคมคำต่อไปแล้วเช่นกัน พวกเขาก็รับปากด้วยดี แต่ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ไม่ยอมทำตามข้อตกลงที่บันทึกกันไว้(เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม) ได้แต่ใช้เล่ห์กลทุกวิถีทางเพื่อกลบเกลื่อนความผิดของตน โดยไม่คำนึงถึงสิ่งถูก สิ่งผิด สิ่งดี สิ่งชั่ว คุณธรรมและความเป็นจริงใดๆ เลย กลับใช้อุบายต่ำช้าทุกอย่าง เพียงเพื่ออต้องการให้เกิดการถอนแจ้งความเท่านั้น
                        เพื่อเหล่าศิษย์ทั้งปวงและส่วนรวมของสุวรรณโคมคำ พระอาจารย์จึงจำเป็นต้องดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายกับพวกเขาต่อไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และจะต้องฟ้องร้องพวกเขาเพิ่มอีกหลายคดี เนื่องจากพวกเขาก่อกรรมทำเข็ญไว้หนักหนาในหลายที่หลายแห่งต่างกรรมต่างวาระกันมากมายนัก เพราะจนบัดนี้พวกเขาก็ยังไม่คำนึงถึงส่วนรวมใดๆ และไม่ยอมจบปัญหาที่พวกเขาก่อกันไว้ ให้เกิดความชัดเจน กระจ่าง แจ่มแจ้งไร้ข้อกังขา หากปล่อยไว้ชาวสุวรรณโคมคำเราก็จะถูกหยิบยกสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาโจมตีตลอดไปไม่รู้จบสิ้นทั้งชีวิต ไม่เป็นผลดีทั้งแก่พระอาจารย์และสุวรรณโคมคำ ตลอดถึงเหล่าศิษย์โดยรวม จึงจำเป็นต้องพึ่งกระบวนการทางกฎหมายในเรื่องดังกล่าวให้เด็ดขาดไป
                        ทั้งนี้พระอาจารย์ท่านไม่ประสงค์จะทำให้ผู้หนึ่งผู้ใดต้องติดคุกติดตารางเลย เพียงแต่ขอให้ใครที่หลงผิดไปแล้ว มาขอขมาพระอาจารย์ ด้วยความสำนึกผิดและจริงใจ พระอาจารย์ก็จะยกโทษให้ทันที เพราะล้วนเป็นลูกศิษย์พระอาจารย์กันทั้งนั้น
                        ที่จริงพระอาจารย์ไม่ได้ถือสาอะไรใคร เพียงแต่หาทางที่ดีที่สุดเพื่อจะจบปัญหาให้ส่วนรวมอย่างยั่งยืนเท่านั้น  แต่คนเหล่านั้นยังไม่สำนึกยังมีความโลภโมโทสันและเห็นแก่ตัวอย่างเดียวเท่านั้น คิดหวังแต่ผลประโยชน์และปกปิดความเป็นจริง พยายามปิดหูปิดตาชาวสุวรรณโคมคำ มุ่งบิดเบือนข้อเท็จจริงต่างๆเพื่อให้ตนและพรรคพวกพ้นจากการเสียหน้าและการติดคุกถ่ายเดียว อันจะส่งผลเสียอย่างร้ายแรงต่อส่วนรวมมิรู้จบสิ้น ดังที่พระอาจารย์เคยกล่าวไว้บ่อยๆ ว่า สิ่งที่คนชั่วกลัวที่สุด คือ กลัวว่าคนอื่นจะรู้ว่าตัวเองชั่ว
ถ้าเป็นเช่นนั้น พระอาจารย์ก็จำเป็นต้องดำเนินการตามกฎหมายต่อไปอย่างเด็ดขาด  จนกว่าพวกเขาจะต้องรับกรรมที่ก่อไว้  เพื่อให้ส่วนรวมของสุวรรณโคมคำได้พบแสงสว่างอีกครั้ง

คณะศิษย์สุวรรณโคมคำ
                                                                                                                                          17 ตุลาคม 2554












ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น