สรุปข่าวคดี ปี ’๕๕
สุวรรณโคมคำ
จากเหตุร้ายแรงที่เกิดขึ้นแก่สุวรรณโคมคำ
ตั้งแต่ ปี 2553 จวบจนถึงบัดนี้ ปี 2555 ก็เป็นเวลาร่วม 3
ปีแล้ว สิ่งหนึ่งที่ชาวสุวรรณโคมคำแทบทุกคนไม่เคยรู้ก็คือ พวกแก๊งมูลนิธิ ฯ
นอกจากปล่อยข่าวทำลายพระอาจารย์อย่างร้ายแรงสาดเสียเทเสียไปทั่วในหมู่ชาวสุวรรณโคมคำและชาวพุทธ
ตลอดจนในแวดวงโหราศาสตร์ รวมถึงในอินเตอร์เน็ตอย่างกว้างขวาง จนวิชชาสุวรรณโคมคำอันประเสริฐเกิดภาพลักษณ์เน่าเสียเละเทะหมดสิ้นไปทั่วแล้ว
เท่านั้นยังไม่พอยังแอบไปประชุมกัน ปลดพระอาจารย์ท่านออกจากตำแหน่งประธานมูลนิธิด้วย
ทั้งๆที่พวกเขาก่อเรื่องและประกาศลาออกจากตำแหน่งต่อหน้าสาธารณะชนเป็นที่รู้เห็นกันเป็นจำนวนมากและสิ้นสภาพความเป็นกรรมการมูลนิธิแล้ว
จนพระอาจารย์ต้องแบกมูลนิธิอย่างยากลำบากโดยลำพังแม้วิกฤติขนาดไหนท่านก็ไม่เคยทอดทิ้งให้มูลนิธิล่มสลาย
แต่ระหว่างนั้นคนพวกนั้นกลับแอบไปประชุมกัน ( 30 พ.ย.53 ) ปลดท่าน
อ้างว่าหาตัวท่านไม่เจอ
ทั้งๆที่ตอนนั้นพระอาจารย์ท่านก็บริหารดูแลมูลนิธิอยู่อย่างเปิดเผยตามปกติ
โดยคนพวกนั้นอ้างเอาเรื่องร้ายแรงที่พวกตนกุขึ้น ( ปล่อยข่าว ) ไปทั่วนั่นแหล่ะ
มาผนวกกับการแอบอ้างวัดยานฯ แล้วประชุมเท็จปลดท่าน เพราะคนพวกนั้นนั่นแหล่ะที่กุเรื่องทำลายสุวรรณโคมคำเอง
และลาออก ( ด้วยวาจา )จากการเป็นกรรมการมูลนิธิแล้ว สิ้นสภาพกรรมการแล้ว ( โดยมีวีดีโอบันทึกเหตุการณ์นี้เป็นหลักฐานยืนยันอย่างชัดเจนแน่นหนา
)
สิ่งที่พวกเราชาวสุวรรณโคมคำทั้งหลายยังไม่รู้ก็คือ
“ คนพวกนั้น ” เขียนบันทึกรายงานการประชุมเป็นลายลักษณ์อักษร
เอาเนื้อเรื่องของข่าวลือร้ายแรงสาดเสียเทเสียเละเทะที่พวกตนกุขึ้นใส่ความพระอาจารย์และปล่อยข่าวไปทั่วนั้นแหล่ะมาบันทึกจาระไนเป็นรายงานการประชุม
เฉพาะรายละเอียดส่วนนี้ก็มีบันทึกบรรยายไว้ ถึง 2 หน้ากระดาษ A4 บันทึกไว้ในสาระบบของมูลนิธิสุวรรณโคมคำและยื่นส่งกระทรวงมหาดไทย
บันทึกไว้ให้เป็นเอกสารราชการอย่างเป็นทางการในระบบราชการไทยอย่างถาวรตราตรึงไว้ในประวัติศาสตร์สุวรรณโคมคำและประวัติศาสตร์ไทย
โดยแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ก่อความเสียหายร้ายแรงทำลายรากเหง้าของสุวรรณโคมคำอย่างโดยบริบูรณ์ตลอดกาลนานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ เพียงเพื่อจะใส่ความ ( ป้ายสี ) พระอาจารย์ ” และ “ เพียงเพื่อผลประโยชน์ของตนและพวกพ้อง ”
ต้องทำถึงขนาดนั้น !!! ความโลภหนอความโลภ กิเลสหนอกิเลส
เราชาวศิษย์สุวรรณโคมคำไปปรึกษาเจ้าหน้าที่ราชการแผนกมูลนิธิ
ๆ ทุกคนยืนยันเลยว่า ไม่เคยมีมูลนิธิไหน(
ทั้งประเทศ )เขาทำกันแบบนี้ จะปลดออก ฯลฯ ก็แค่ทำหนังสืออ้างถึงกฎ/ระเบียบข้อบังคับของมูลนิธิข้อไหน
แล้วปลด/เปลี่ยนจากใครเป็นใครเท่านี้ก็พอ ไม่ต้องจาระไนบรรยายรายละเอียด (
สาดเสียเทเสีย ) อะไรมา ที่พวกมูลนิธิกลุ่มนี้ทำอย่างนี้ประหลาดอย่างยิ่ง
เสียหายอย่างยิ่ง มีพิรุธอย่างยิ่ง ( แท้จริง
ใครเห็นใครก็รู้ทันทีว่ามีเจตนาอกุศลอะไรแฝงอยู่เบื้องหลังการกระทำเช่นนี้ )
นั่นคือการใส่ความ ฆ่า และ ฝัง พร้อมทั้งปักป้ายประจานโยนความผิด เพื่อผลประโยชน์ของตนและพวกพ้องโดยไม่สนใจอะไรอื่นทั้งสิ้น
ความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่องค์กรของสุวรรณโคมคำ ฯลฯ นี้ ร้ายแรงและใหญ่หลวง ฯลฯ
มากมายมหาศาล ถาวร สิ้นสูญ สิ้นกาลนาน ฯลฯ ขนาดไหน
เมื่อทราบเรื่องนี้แล้วชาวสุวรรณโคมคำและชาวพุทธผู้มีปัญญาทั้งหลาย
สามารถใช้วิจารณญาณหยั่งทราบได้เองโดยเราศิษย์สุวรรณโคมคำไม่ต้องบรรยายเลยใช่ไหม……..
ไม่เพียงแค่นั้น
คนเหล่านั้นยังบังอาจแอบอ้างเรื่องเท็จร้ายแรงสำทับ (
คงเพื่อทำให้น่าเชื่อถือยิ่งขึ้นเพราะกลัวคนไม่เชื่อและกลัวความเสียหายแก่พระอาจารย์ยังไม่มากพอ
ที่จะหลอกให้คนพากัน(คล้อยตาม)ประณามท่าน ตลอดประวัติศาสตร์
พวกตนจะได้เป็นพระเอกนางเอกตลอดไป ) เข้าไว้เป็นลายลักษณ์อักษรในรายงานการประชุมนั้นต่ออีกว่า
คณะสงฆ์วัดยาน ฯ ตั้งอธิกรณ์ ไต่สวนครบถ้วนตามกระบวนการแล้วมีมติสงฆ์ให้
(จับ) พระอาจารย์สึก ด้วยอาบัติ “ ปฐมปาราชิก ” เมื่อวันที่ ฯลฯ
ดังมีสลักหลังหนังสือสุทธิของท่านเป็นหลักฐาน
พูดซะน่าเชื่อถือขนาดนี้ ใครได้ยินก็ต้องคล้อยตามเป็นแน่ !!!
เพียงเพื่อสนองประโยชน์ของคนไม่กี่คน
( ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ) ทำลายสิ้น ความประเสริฐสูงส่ง ความบริสุทธิ์ ผุดผ่อง ความเสียสละยิ่งใหญ่ ฯลฯ ขององค์กร
รวมถึงวิชชาสุวรรณโคมคำ
ที่ชาวสุวรรณโคมคำและชาวพุทธทั้งหลายทุ่มเทเสียสละมาทั้งหมดในช่วงที่ผ่านมาลงสิ้นตราบเท่ากาลนาน
พระอาจารย์แม้เมื่อได้ทราบเรื่องนี้
ก็ยังสู้อุตส่าห์เมตตา ( ต่อคนพวกนั้น ฯลฯ ) และอดทน ( ทั้งที่ท่านเสียสละ เมตตา
อดทน ฯลฯ มามหาศาลนับประมาณมิได้แล้วก่อนหน้านั้น ) พยายามค่อย ๆ คิดค่อย ๆ
แก้ไขปัญหาใหญ่หลวงนี้แบบบัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น ( ให้สำเร็จด้วยดีให้จงได้ )เพราะไม่อยากให้เกิดภาพว่าชาวสุวรรณโคมคำทะเลาะกัน
สุวรรณโคมคำและพระพุทธศาสนาจะยิ่งเสียหาย
ก็เพื่อชาวสุวรรณโคมคำและชาวพุทธและสรรพสัตว์ทั้งปวง
ท่านพยายามอย่างอดทนและให้อภัยด้วยความสงสารในคนเหล่านั้น
และที่จริงทางแก้นั้นยังพอมีอยู่ คือ
ให้คนเหล่านั้นลาออกเสีย เปลี่ยนเป็นกรรมการในสายขาวที่พระอาจารย์คัดเลือกแล้ว
จากนั้นให้กรรมการใหม่ ( สายขาว ) นั้นทำรายงาน ( บันทึก ) การประชุมสรรเสริญพระอาจารย์
( ตามจริง )บันทึกไว้ในสาระบบของมูลนิธิสุวรรณโคมคำและยื่นส่งกระทรวงมหาดไทยตามขั้นตอน
เพื่อบันทึกไว้ในสาระบบของราชการไทยสืบไปอย่างเป็นทางการเช่นกัน ( เพราะถ้าให้กรรมการเก่าบันทึกแก้ไขเอง
พวกเขาต้องติดคุกกันหมดแน่ ด้วยความผิดที่พวกเขาก่อขึ้นมาก่อนหน้านี้แหละ
)
เมื่อเป็นเช่นนี้
ในอนาคตกาลภายหน้า ใคร ๆ ที่อ่าน / อ้างอิงประวัติศาสตร์สุวรรณโคมคำตามเอกสารราชการนี้
ก็จะถือเอาบันทึกครั้งหลังเป็นสำคัญ ( ตามหลักการสามัญทั่วไป
) ว่าสุวรรณโคมคำประเสริฐสูงส่ง บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ดีงาม ฯลฯ มาตั้งแต่ก่อตั้ง เพราะบันทึกครั้งแรกนับเป็นการเกิดปัญหาเข้าใจผิดกัน
แต่แก้ไขได้ความกระจ่างแล้วโดยบันทึกครั้งหลังนี้
สิ้นความกังขาในประวัติศาสตร์สุวรรณโคมคำ ชาวสุวรรณโคมคำและชาวพุทธตลอดทั้งสรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงก็จะได้รับอานิสงส์ผลบุญกุศลนี้กันถ้วนหน้า
ปิดฉากปัญหาวุ่นวายเรื้อรังทั้งปวงซะที ( อย่างละมุนละม่อม ) บันทึกไว้เป็นเกียรติประวัติแก่สุวรรณโคมคำว่าชาวสุวรรณโคมคำทั้งปวงสมเป็นปราชญ์
รู้ผิด รู้แก้ไข รู้อภัย แก้ปัญหาได้ด้วยสันติวิธีอย่างที่กัลยาณชนคนดีทั้งหลายพึงกระทำ
สมควรเอาเป็นแบบอย่างแก่อนุชนรุ่นหลังอย่างแท้จริง
แต่แม้ว่าพระอาจารย์ท่านจะเมตตาแล้วเมตตาอีก
ให้อภัยแล้วให้อภัยอีก เปิดโอกาสแล้วเปิดโอกาสอีกฯลฯ ขนาดไหนก็ตาม และแม้ฟ้อง ( คดี
) เพื่อเป็นการเตือนแล้ว พวกเขาก็ยังไม่สำนึก ไม่แก้ไข คนเหล่านั้น( แก๊งมูลนิธิ )
ก็ไม่ยอมรับโอกาสเหล่านั้น แต่กลับก่อเรื่องร้ายแรงเพิ่มเติมขึ้นมาอีกนับไม่ถ้วน
เช่น ส่งหนังสือแจ้งเรื่องเท็จเหล่านี้ไปที่เจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด
เจ้าคณะอำเภอ ฯลฯ ฝ่ายธรรมยุติที่พระอาจารย์ไปบวชอยู่
รวมทั้งให้คนตามปั่นป่วนทำลายพระอาจารย์ไปทุกที่ ไม่ว่าใน กทม.หรือพิษณุโลกหรือจังหวัดใดๆก็ตาม
อย่างไร้สำนึกและไร้ความเป็นมนุษย์ก็ว่าได้ เพื่อปกปิดบิดเบือนความผิดเดิมของตนและใส่ความพระอาจารย์เพิ่มให้หนักเข้าไปอีก
อย่างไร้มโนธรรม และความรับผิดชอบใด ๆ ต่อสุวรรณโคมคำและส่วนรวม
เรื่องร้ายแรงนี้เกิดขึ้นเพราะการกุข่าวขึ้นของพวกแก๊งมูลนิธิโดยแท้
จนในที่สุดแม้แต่พระเดชพระคุณหลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดยานฯ
แม้ท่านไม่ใช่ชาวสุวรรณโคมคำอย่างพวกเราโดยตรง ก็ยังทนเห็นพระดี ๆ อย่างพระอาจารย์ถูกทำร้าย
ใส่ความและตามทำลายด้วยเรื่องเท็จอย่างไม่หยุดหย่อนไม่ได้
จนท่านต้องออกมายืนยันความเป็นจริงด้วยตัวท่านเอง ด้วยการทำหนังสือรับรองตามความเป็นจริงว่า
พระอาจารย์ไม่ได้ต้องอธิกรณ์อะไรและไม่ได้มีความผิดใดๆ ไม่ได้เป็นอาบัติอะไร ( พวกแก๊งมูลนิธิ
)กุข่าวแอบอ้างวัดยานฯ ( เพื่อทำลายพระอาจารย์ ) กันไปเองทั้งนั้น
(ตื่นเถิดชาวสุวรรณโคมคำเอย)
บัดนี้บรรดาผู้ที่เกี่ยวข้อง
( รวมถึงถูกแอบอ้างว่าเกี่ยวข้อง ) กับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันหมดแล้วว่าพระอาจารย์ไม่ได้มีความผิดหรือเป็นอาบัติอะไร
และพวกเขาก็ไม่ได้มีส่วนรู้เห็น / เกี่ยวข้องอะไรกับการใส่ความที่เกิดขึ้น กับพระอาจารย์เลย
ไม่เคยมีอธิกรณ์ ไม่มีมติสงฆ์ หรือสลักหลังหนังสือสุทธิ ฯลฯ อะไรทั้งสิ้น
เรื่องร้ายแรงที่เกิดขึ้นทั้งหมดทั้งสิ้นนั้น พวก ( แก๊ง ) มูลนิธิล้วนกุข่าวขึ้นเองและแอบอ้างเอาเองทั้งนั้น
บัดนี้ ความจริงได้ถูกเปิดเผยโดยชัดแจ้งแล้ว ทิศทางของคดีและแนวทางของกฎหมายมีข้อสรุปที่ชัดแจ้งแล้ว
ไม่มีทางเป็นอย่างอื่นไปได้
ต้องดำเนินไปตามความเป็นจริงที่ปรากฏขึ้นตามจริงแท้นี้อย่างไม่ต้องสงสัย
ในทางหลักกฎหมายถือว่าพระอาจารย์ชนะในเชิงคดีแล้วโดยเบ็ดเสร็จ เหลือเพียงดำเนินกระบวนการทางกฎหมายไปตามขั้นตอนจนครบถ้วน
ผู้ที่ก่อเรื่อง / ทำความผิดเหล่านั้นก็ต้องรับโทษทัณฑ์ไปตามกฎหมายในที่สุด
ตอนนี้คดีที่ฟ้องไปแล้ว
ที่โดนตัวพวกกรรมการมูลนิธิโดยตรงนั้นมีอยู่ 3 คดี คือ
1. คดีละเมิด
2.
คดีปลอมแปลงเอกสาร
3. คดียักยอก
(เงินของมูลนิธิ เช่น เงินทุนจดทะเบียน ฯลฯ )
ซึ่งคดีเหล่านี้เป็นเพียงคำเตือนให้พวกแก๊งมูลนิธิหยุดกระทำชั่วและสำนึกแก้ไข
รวมทั้งรีบแสดงความรับผิดชอบต่อส่วนรวม เช่น
รีบคืนมูลนิธิให้กลับมาอยู่ในสายขาวได้แล้วเป็นต้น
ถ้าพวกแก๊งมูลนิธิแสดงความสำนึกแก้ไขเรียบร้อยแล้ว ทางโจทก์ก็จะไม่เอาความ
จะอภัยให้ เรื่องที่แล้วก็แล้วกันไป ตั้งใจทำความดีเพื่อส่วนรวมกันดีกว่า
แต่ถ้าเขาเหล่านั้นไม่สำนึก ไม่แก้ไขใด ๆ
ไม่ยอมรับเอาทางออกอย่างผู้เจริญแล้วนี้
แต่กลับทำชั่วช้าสารพัดอย่างไร้ความเป็นมนุษย์ ฯลฯ อย่างที่เป็นอยู่นี้
พระอาจารย์ท่านก็ไม่มีทางเลือก เพราะศิษย์สุวรรณโคมคำทั้งหลายถามท่านว่า พระอาจารย์เมตตาต่อแก๊งคนชั่วยิ่งนัก
แต่พระอาจารย์ไม่เมตตาต่อศิษย์สุวรรณโคมคำและชาวพุทธที่ดีทั้งหลายบ้างหรือ
พระอาจารย์ทนเห็นพวกเขาสู้อุตส่าห์ลำบากแสนสาหัสต่อเนื่องยาวนานถึง 3 ปี เพื่อรักษาความดีแห่งชาวสุวรรณโคมคำและชาวพุทธ
เพราะเรื่องเท็จของคนชั่วไม่กี่คนที่ท่านเมตตาอยู่นั้นได้หรือ
จะทนเห็นชาวสุวรรณโคมคำดี ๆ ทุกข์ยากต่อไปถึงเมื่อไร
เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ พระอาจารย์ท่านจึงตัดสินใจว่าจะให้โอกาสพวกนั้นเป็นครั้งสุดท้าย ท่านจะรอถึงสิ้นเดือนมกราคม
2556 ถ้าพวกนั้นคืนมูลนิธิมาแก่สายขาวทันสิ้นเดือนมกราคม
ท่านก็ขออนุโมทนาและยุติคดีทั้งปวง สุวรรณโคมคำก็จะฟื้นคืนรุ่งเรืองได้ในปี 2556
นี้แน่แท้ แต่หากพวกเขาไม่รับเอาโอกาสสุดท้ายนี้
พระอาจารย์ก็จำต้องฟ้องคดีหนักๆ ที่เหลืออีกนับไม่ถ้วนแก่คนพวกนั้นตามจริง เพราะคนพวกนั้นก่อเรื่องชั่วร้ายไว้นับไม่ถ้วน
ซึ่งมีข้อมูลคดีอยู่ในมือพระอาจารย์หมดแล้ว เช่น คดี “ แจ้งข้อมูลเท็จต่อราชการ ”
(แจ้งความเท็จ) ฯลฯ ซึ่งทางกฎหมายเรียกว่าเป็นคดีอาญาแผ่นดิน
เป็นคดีที่หนักมากที่เมื่อฟ้องแล้วจะหยุดไม่ได้ ต้องดำเนินไปจนจบ
คนผิดต้องติดคุกสถานเดียว ที่ผ่านมาท่านจึงไม่ยอมฟ้องคดีหนักๆ
แบบนี้ ถ้าฟ้องแต่ต้น สุวรรณโคมคำก็พบแสงสว่างนานแล้ว
แต่พระอาจารย์ท่านสงสารพวกคนพาล ท่านจึงรั้งรออยู่ก่อน แต่จากนี้ท่านจะปล่อยให้เลยไปกว่านี้อีกไม่ได้แล้วโดยเด็ดขาด
เนื่องจากสุวรรณโคมคำย่อยยับมาตั้ง 3 ปีแล้ว ( ตติยัมปิ ) ด้วยน้ำมือคนพาล จากที่เคยรุ่งเรืองมากขึ้น
ๆ อย่างยิ่งมาโดยตลอดในสมัยพระอาจารย์ // ฉะนั้นถ้าหากถึงสิ้นเดือนมกราคมแล้วพวกนั้นยังไม่คืนมูลนิธิมาอยู่ในสายขาวก็ไม่มีทางเลือกอื่นใดเหลือให้รั้งรออยู่อีกแล้ว
ก็จำเป็นต้องฟ้องคดีอาญาแผ่นดิน ให้พวกนั้นติดคุกหมดสิ้น
ใช้คำตัดสินของศาลชี้ขาดเป็นที่ยุติ ประวัติศาสตร์จะได้บันทึกโดยชัดเจน
เป็นการแก้ปัญหาและทำความกระจ่างไป ไม่ให้คลุมเครือ ยืดเยื้อ เรื้อรัง เป็นปัญหาค้างคาไปในประวัติศาสตร์อันยาวนานข้างหน้า
ๆ ก่อความเสียหายใหญ่หลวงแก่สุวรรณโคมคำและสรรพสัตว์สิ้นกาลนาน
ถ้าหากพวกเขาดึงดันที่จะให้เป็นอย่างนั้น
ก็สุดแล้วแต่เถิด เพราะเมื่อศาลตัดสินถึงที่สุดแล้ว คนพวกนั้นติดคุกกันหมดสิ้นแล้ว
ความเป็นจริงก็กระจ่างใสบริบูรณ์
มูลนิธิก็จะถูกนำมาคืนสู่สายขาวเองในที่สุดเช่นกัน ก็นับเป็นการแก้ปัญหาได้ ( แต่กระบวนการในศาลอาจใช้เวลานานเป็นปี
/ หลายปี )
ระหว่างนี้พระอาจารย์ท่านก็เผยแพร่สุวรรณโคมคำอยู่เป็นปกติสุข
( ในธรรม ) มิได้เนิ่นช้าอะไรแต่ประการใด
เพราะช่วงที่ผ่านมาท่านได้ค้นพบสุวรรณโคมคำ 16 ศาสตร์ ( โสฬส ) แล้ว
และยังค้นพบรอยพระบาทของสมเด็จฯ ที่ประทับไว้บนก้อนหินเพื่อเป็นอนุสสติและเป็นประวัติศาสตร์แก่ชาวสุวรรณโคมคำและชาวพุทธอีกด้วย
ไม่เพียงแค่นั้นท่านยังค้นพบศาสนสถานโบราณที่สมเด็จฯท่านเคยใช้ทำสังฆกรรม ฯลฯ สายสุวรรณโคมคำเราอีกด้วย
นับว่าวิกฤตที่ผ่านมากลับให้คุณยิ่งแก่พระอาจารย์และชาวสุวรรณโคมคำสายขาวชนิดเขย่งก้าวกระโดดไปอีกหลายขั้นยิ่งนัก
อย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว นับเป็นอานิสงส์อันยิ่งใหญ่แห่งจิตที่ตั้งมั่นในคุณธรรม และความเสียสละอันยิ่งยวด
รวมถึงการบำเพ็ญบารมีอย่างอุกฤษฎ์ของพระอาจารย์ ที่สั่งสมมานับภพนับชาติไม่ถ้วนที่แสดงออกมาเป็นเครื่องพิสูจน์บุญบารมีให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจนเพื่อชาวสุวรรณโคมคำและสรรพชีวิตทั้งปวงอย่างน่าอัศจรรย์
ซึ่งปัจจุบันท่านได้ถ่ายทอดบอกสอนวิชชากันอยู่ในหมู่ผู้ที่ (
ครูบาอาจารย์เรียกว่า.... ) “ คุณถึง ” ( เช่น มีความซื่อสัตย์จริงใจ มีคุณธรรม
มีความเสียสละ ฯลฯ = สัจจะ ศีล ธรรมะ )
และท่านก็กำลังเรียบเรียงจัดทำเป็นโครงสร้างหลักสูตรฉบับปรับปรุงเตรียมเปิดสอนวิชชาให้ครบถ้วนบริบูรณ์ตลอดสาย
ชนิดตั้งแต่เริ่มต้นปูพื้นฐานกันไปเลยสืบเนื่องต่อไปจนถึงยอดอย่างบริบูรณ์โดยไม่ขาดสายในต้นปีหน้า
( ปี 2556 ) นี้
ขอเชิญชวนพวกเราชาวสุวรรณโคมคำและชาวพุทธทั้งหลายมาร่วมมือกันสาง
( แก้ ) ปัญหานี้ให้เป็นบุญใหญ่อานิสงส์ใหญ่สืบอายุพระพุทธศาสนาสืบไปภายหน้าให้มหาศาลๆๆกันไปเลย
อย่าได้หลงผิดทำบาปใหญ่ ทำร้ายครูบาอาจารย์
ทำร้ายสุวรรณโคมคำและพระพุทธศาสนากันอีกต่อไปเลย
ตื่นเถิดชาวสุวรรณโคมคำ..................โคมสว่างแล้ว
สาาา.....................ธุ
ๆ ๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น