ในปลายกันยายน 2548 ทางมูลนิธิสุวรรณโคมคำ (ต่อไปนี้ขอเรียกย่อว่า “มูลนิธิ”) โดยพระอาจารย์
ซึ่งเป็นประธานมูลนิธิในสมัยนั้นได้มีการยื่นขอใช้พื้นที่ประมาณเกือบ 50 ไร่
ซึ่งอยู่ในเขตรับผิดชอบของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ต่อไปนี้ขอเรียกย่อว่า “ส.ป.ก.”) โดยวัตถุประสงค์การใช้พื้นที่ดังกล่าวมีไว้เพื่อ “ดำเนินการปลูกพืชสมุนไพรโดยวิธีธรรมชาติ
และใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม” – อ้างอิงจากเอกสาร“ส.ป.ก. 4 - 31 ก., หนังสืออนุญาตให้ใช้ที่ดินเพื่อกิจการสาธารณูปโภคและกิจการอื่นๆ
ในเขตปฏิรูปที่ดินที่ 202/2551”(ต่อไปนี้ขอเรียกย่อว่า “หนังสืออนุญาตใช้ที่ดินเลขที่202/2551”)
(อ้างอิงตาม “httpwwwccn-sanny.blogspot.com/2011/08/2-3-4-2-2.html”)
เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์หลัก คือ
การปลูกพืชสมุนไพรและการสร้างสถานปฏิบัติธรรม ดังกล่าวนั้น
ทางมูลนิธิได้มีแผนการดำเนินงานที่ได้ยื่นไว้ต่อส.ป.ก.
อันมีระยะเวลาดำเนินการทั้งสิ้น 9 ปี
โดยแบ่งระยะเวลาออกเป็น 3 ช่วงช่วงละ3 ปี โดยโครงการดังกล่าวนี้ยังถือเป็นพันธกิจ (Mission) ความรับผิดชอบ (Responsibility) และภาระผูกพัน (Commitment) ของทางมูลนิธิที่ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ได้วางแผนไว้ด้วยในช่วง 3 ปีแรกนับตั้งแต่ปี2548 ถึงปี 2551 จะเห็นได้ว่าชาวสุวรรณโคมคำได้ใช้ความสามัคคี
ร่วมมือ ร่วมใจกันดำเนินการเข้าไปฟื้นฟูและใช้ประโยชน์ในพื้นที่อันเป็นที่ตั้งของธรรมสถานสุวรรณาภา (ต่อไปนี้ขอเรียกย่อว่า “สุวรรณาภา”) และผลจากความร่วมมือกันของชาวสุวรรณโคมคำนี้เองทำให้ผลงานที่ได้เป็นไปตามกรอบแผนงานที่ได้วางไว้
อันได้แก่ การสร้างสระน้ำ และ
การดำเนินการปลูกพืชเกษตรและพืชสมุนไพรโดยมีพระสงฆ์และฆราวาสจำนวนหนึ่งเข้าไปร่วมดำเนินการ
นอกจากนั้นแล้ว
ในช่วงการเริ่มต้นบุกเบิกดังกล่าวนั้นยังมีสาธารณูปโภคพื้นฐานบางส่วนได้ถูกสร้างขึ้นด้วย
ได้แก่ ศาลาหลังเล็ก เรือนพักสงฆ์
และเรือนพักชายดังจะเห็นได้ว่าผลงานที่ทำได้ในรูปธรรมดังกล่าวนั้นถือเป็นที่ยอมรับได้เป็นอย่างดีทั้งในมุมมองของชาวสุวรรณโคมคำเองรวมถึงมุมมองของบุคคลภายนอกด้วย
ดังจะเห็นได้จาก ในปี 2551 หน่วยงานส.ป.ก.ได้ออกหนังสืออนุญาตใช้ที่ดินเลขที่202/2551ดังกล่าวนั่นเอง
ต่อมาในวาระที่สอง นับตั้งแต่ปี 2552ถึงปี 2554 โดยในปัจจุบันก็ยังอยู่ในช่วงปีที่ 3 ของวาระดังกล่าวนี้ด้วย
ซึ่งในระหว่างกาลนี้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นในระหว่างชาวสุวรรณโคมคำ
โดยมีประเด็นที่สำคัญ 2 ประเด็น
ได้แก่
1.การปลดพระอาจารย์ออกจากตำแหน่งประธานมูลนิธิและการอ้างว่าเข้ามารักษาผลประโยชน์ของมูลนิธิ
โดยมีชนวนเหตุมาจากเรื่องราวและกระแสข่าวที่เป็นเท็จที่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เกิดภาพแง่ลบต่อพระอาจารย์เพื่อให้ความศรัทธาของมวลชนที่มีต่อพระอาจารย์เกิดการสั่นคลอน
ลดลง หรือจนกระทั่งหมดสิ้นไป ตัวอย่างของกระแสข่าว เช่น
การอ้างความเป็นปาราชิกอันเป็นเท็จ
หรือการอ้างว่างบประมาณรวมถึงทรัพยากรที่นำมาใช้ในการบุกเบิก ก่อสร้าง
และบำรุงรักษาสุวรรณาภานั้นสูงเกินกว่าที่ควร เป็นต้น
(อ้างอิงตาม“www.gotoknow.org/blog/suwankomcome/216272?locale=th&page=1”)
เหตุที่กล่าวว่าความปาราชิกนั้นเป็นเท็จเนื่องมาจากได้มีการยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษรแล้วจากบุคคลที่สามโดยผ่านกระบวนการของศาลแล้วนั่นเอง
ส่วนเรื่องงบประมาณที่ใช้อันสูงเกินกว่าที่ควรนั้นอาจจะสรุปแต่เพียงข้อมูลหรือตัวเลขที่ได้ถูกใช้ไปกับทรัพยากรต่างๆ
นั้นคงไม่เพียงพอ
เพราะควรนำผลลัพธ์ที่ได้จากการใช้ทรัพยากรมาเปรียบเทียบควบคู่ไปด้วย
เพราะการที่จะบุกเบิก
และพลิกฟื้นพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมมาเป็นพื้นที่เกษตรเพื่อปลูกพืชและพืชสมุนไพร
รวมถึงจัดให้มีสิ่งก่อสร้างและสาธารณูปโภคพื้นฐานในสุวรรณาภานั้น
ก็น่าที่จะใช้งบประมาณและทรัพยากรไม่น้อยเลยทีเดียว
ทั้งนี้งบประมาณอีกส่วนหนึ่งก็ยังต้องถูกนำมาใช้ร่วมกันระหว่างสุวรรณาภาในพิษณุโลกและมูลนิธิในกรุงเทพอีกด้วย
ณ ขณะนี้มูลนิธิในตอนนี้ได้ออกนโยบายการบริหาร 2554 โดยมีเนื้อหาว่า “ใช้กำลังคนให้น้อย ใช้ทรัพยากรให้น้อย กินน้อย นอนน้อย พูดน้อย
มุ่งปฏิบัติ กำจัดกิเลส ใช้ความรู้ให้น้อย ใช้สติปัญญาให้มาก ทำตัวสมถะเรียบง่าย
อยู่กับธรรมชาติ ไม่ยึดมั่นถือมั่น ปล่อยวางทุกอย่าง”
(อ้างอิงตาม “www.komcome.com/webboard/detail.php?pw_webboard_id=21”)
ถ้าจากมุมมองของนโยบายการบริหารของปี 2554 นี้งบประมาณที่ใช้ไปกับสุวรรณาภาและมูลนิธิภายใต้การนำของพระอาจารย์ก็คงถือได้ว่าได้ใช้ไปอย่างไม่เหมาะสมนัก
แต่ในขณะเดียวกันนโยบายการบริหารของปี 2554 นี้
ถ้าได้มีการนำมาปรับใช้จริงอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนอาจเป็นการไม่เหมาะสมนัก
เนื่องจากมีความเสี่ยงที่พันธสัญญาที่ทางมูลนิธิได้ให้ไว้ต่อส.ป.ก.นั้นอาจจะไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของแผนงานที่ได้ให้สัตยาบรรณไว้
2.ผลงานและความคืบหน้าของสุวรรณาภา โดยคณะทำงานของมูลนิธิชุดใหม่ในปัจจุบันของหลังจากการปลดพระอาจารย์ในช่วงปี 2554 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนกันยายนที่ผ่านมานี้จะเห็นได้ว่าข้อมูลและภาพถ่ายของสุวรรณาภา
ได้ถูกนำมาเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ตจากสองฝ่าย โดยฝ่ายหนึ่งคือ มูลนิธิ
และอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งก็คือ ชมรมศิษย์สุวรรณโคมคำ (ต่อไปนี้ขอเรียกย่อว่า “ชมรม”) โดยภาพที่ออกมาเห็นจะเห็นได้ว่า
สุวรรณาภาที่ทางมูลนิธิได้นำมาเสนอนั้นอยู่ในสภาพที่สวยงาม เรียบร้อย
ในขณะที่ภาพสุวรรณาภาที่ทางชมรมได้นำมาเสนอนั้นกลับดูขาดการดูแลรักษา
รกร้าง ไม่เป็นระเบียบ
เต็มไปด้วยหญ้าสูงขึ้นมาแซมกับพื้นที่เพาะปลูกและสิ่งก่อสร้างโดยภาพที่ทางชมรมได้นำเสนอนั้นได้ถูกบันทึกไว้ก่อนที่สุวรรณาภาจะถูกปัดกวาดเช็ดถู
และต่อมาได้มีการกำจัดหญ้าโดยโดยใช้สารเคมี และเผาทำลาย
ดังจะเห็นได้จากการที่ต้นหญ้ามีสีเหลืองจากฤทธิ์สารเคมี
และเหลือแต่ตอตะโกในท้ายสุด
ผลงานนี้ได้สะท้อนให้เห็นว่าการกระทำดังกล่าวได้ขัดแย้งต่อทั้งวัตถุประสงค์และขัดแย้งต่อแผนงานที่ได้วางกรอบไว้ต่อส.ป.ก.
ทั้งนี้โดยตามวัตถุประสงค์การใช้พื้นที่ดังกล่าวมีไว้เพื่อ “ดำเนินการปลูกพืชสมุนไพรโดยวิธีธรรมชาติ
และใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม”
กรณีที่ทางได้ใช้ทั้งสารเคมีและการเผาหญ้าถือได้ว่าไม่ได้ดำเนินการปลูกพืชสมุนไพรโดยวิธีธรรมชาติ
หรือไม่ได้ดำเนินการให้ถือว่าเป็นเกษตรอินทรีย์
ตลอดจนการเผาหญ้าถือได้ว่าเป็นการทำลายหน้าดินอันอุดมไปด้วยอาหารของพืช
ซึ่งในเรื่องนี้แม้แต่เด็กนักเรียนในชั้นประถมศึกษาเองก็ได้รับการถ่ายทอดความรู้และปลูกฝังมานาน
ส่วนกระบือหนึ่งตัวที่ถูกเลี้ยงในสุวรรณาภานั้นไม่ได้มีวัตถุประสงค์ไว้เพื่อหน้าที่กำจัดหญ้าที่ขึ้นสูงและรกร้าง
แต่มีไว้เพื่อลากจูงท่อนไม้ที่ถูกลักลอบตัดอย่างผิดกฎหมายในบริเวณพื้นที่ป่าใกล้เคียงกับสุวรรณาภานั่นเอง
ส่วนถ้ามองในเชิงประสิทธิภาพและประสิทธิผลการนำกระบือเพียงตัวเดียวมาดูแลพื้นที่รกร้างเกือบ 50 ไร่นี้ก็ไม่เหมาะสมนักเช่นกัน
ส่วนกรณีที่สุวรรณาภาดังกล่าวไม่ได้ถูกใช้เป็นปฏิบัติธรรม
จะเห็นได้จากกิจกรรมต่างๆ
ของมูลนิธิในช่วงระยะหลังมานี้มิได้มีการจัดกิจกรรมให้ผู้สนใจเข้าไปศึกษาศีลธรรมและจริยธรรมแต่อย่างใด
มีเพียงแต่พระสงฆ์เพียงหนึ่งรูปและกระบืออีกหนึ่งตัวที่อาศัยอยู่และดูแลสุวรรณาภา
ทั้งนี้การที่พระสงฆ์มิได้ศึกษาในพระธรรม หรือแม้กระทั่งฝึกปฏิบัติตามพระธรรมวินัย
ตลอดจนมิได้ปฏิบัติกิจสงฆ์อันสมควร
สุวรรณาภาจึงอาจถือได้ว่าใช้เป็นแหล่งปฏิบัติธรรม
แต่ในทางตรงข้ามสุวรรณาภานี้กลับใช้เป็นแหล่งพักไม้ผิดกฎหมายอีกด้วย
ที่ผ่านมาเป็นการกล่าวถึงผลงานปัจจุบันของมูลนิธิต่อสุวรรณาภาโดยภาพรวมเทียบตามวัตถุประสงค์
ต่อไปนี้จะเป็นการยกตัวอย่างการเปรียบเทียบผลงานปัจจุบันกับแผนงานในวาระที่ 2
ลำดับขั้นตอนและการดำเนินงาน
2.1 ปลูกพืชให้เต็มโครงการโดยการปลูกพืชเกษตรสมุนไพรให้ครบถ้วน
ผลงานปัจจุบันในวาระที่ 2
- ไม่มีการปลูกพืชเกษตรสมุนไพรเพิ่มเติมให้ครบถ้วน
- ไม่ได้มีการบำรุงรักษาพืชที่เคยปลูกไว้
- ไม่ได้ใช้วิธีธรรมชาติหรือเกษตรอินทรีย์
2.2 สร้างศาลาอเนกประสงค์และที่พักรองรับการเผยแพร่ความรู้ด้านการเกษตร
สร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานให้ครบสมบูรณ์ อันได้แก่ สร้างระบบน้ำ ศาลาเอนกประสงค์
ศาลาสวัสดิการและโรงครัว เรือนพักสงฆ์ เรือนพักชาย และเรือนพักหญิง
ผลงานปัจจุบันในวาระที่ 2
- ระบบน้ำที่มีอยู่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์
และส่วนที่สร้างเสร็จไปแล้วไม่ได้มีการดูแลรักษา
- ยังไม่มีการสร้างศาลาเอนกประสงค์
2.3 รักษาสิ่งแวดล้อม
โดยปลูกพืชที่ให้พลังงานทดแทนให้ครบถ้วน
และส่งเสริมศีลธรรมจริยธรรมแก่ผู้สนใจเข้ามาศึกษา
ผลงานปัจจุบันในวาระที่ 2
- ไม่มีการส่งเสริมการรักษาสิ่งแวดล้อม
ศีลธรรมจริยธรรมแก่ผู้สนใจเข้ามาศึกษา
- มีกิจกรรมที่ผิดต่อธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม
รวมถึงศีลธรรมและจริยธรรม
โดยสรุปแล้วถ้าจะเปรียบเทียบผลงานที่แท้จริงของช่วงเวลาที่ผ่านมาที่อันมีพระอาจารย์เป็นผู้นำนั้นจะเห็นได้ว่าโครงการดังกล่าวเป็นไปตามแผนโครงการที่ได้ยื่นเสนอต่อทางสปก.
ซึ่งการดำเนินการตามโครงการนั้นมีความจำเป็นที่จะต้องใช้ทรัพยากรในด้านเวลา
บุคลาการ และทุนทรัพย์ไม่น้อยทีเดียว โดยมิใช่เพียงแต่พระอาจารย์เท่านั้นที่ได้เสียสละ
แต่พวกเราชาวสุวรรณโคมคำทุกคนต่างก็มีส่วนช่วยกันคนละไม้คนละมือ คนละนิดคนละหน่อย
จึงถือได้ว่าสุวรรณาภานั้นเป็นของชาวสุวรรณโคมคำโดยแท้หาใช่เป็นของใครคนใดคนหนึ่งไม่
ดังนั้น ทุกคนควรต่างต้องร่วมมือกันต่อไปในการดำรงและรักษาไว้สืบไป
นอกจากนั้นส่วนหนึ่งจึงยอมรับไม่ได้ที่มีข้อมูลและข่าวสารที่โกหก
ปกปิดและบิดเบือนชาวสุวรรณโคมคำด้วยกันเอง
ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วสุวรรณาภาที่ทางมูลนิธิดูแลอยู่ในปัจจุบันถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมให้การกระทำที่ผิดทั้งต่อกฎหมาย
ศีลธรรม และธรรมชาติตลอดจนสิ่งแวดล้อมอีกด้วย สิ่งเหล่านี้ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สุวรรณาภาของพวกเราชาวสุวรรณโคมคำที่ได้เคยร่วมแรงร่วมใจกันอาจจะต้องถูกยึดคืนกลับไปทันทีถ้าทางส.ป.ก.จะเข้ามาตรวจสอบ
ดังนั้น ขอให้ชาวสุวรรณโคมคำทั้งหลายได้ตื่นตัว เร่งมือกัน ช่วยเหลือ
แก้ไขกันด้วยเถิด ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป และสุดท้ายที่อยากฝากไว้คือ
ข้อมูลและข่าวสารที่โกหก ปกปิดและบิดเบือนชาวสุวรรณโคมคำด้วยกันเองนั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น