วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ธรรมสถานสุวรรณาภา โ ค ร ง ก า ร 9 ปี ที่ ยื่ น เ ส น อ ต่ อ ส. ป. ก.


 ในปลายกันยายน 2548 ทางมูลนิธิสุวรรณโคมคำ (ต่อไปนี้ขอเรียกย่อว่า มูลนิธิ”) โดยพระอาจารย์ ซึ่งเป็นประธานมูลนิธิในสมัยนั้นได้มีการยื่นขอใช้พื้นที่ประมาณเกือบ 50 ไร่ ซึ่งอยู่ในเขตรับผิดชอบของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ต่อไปนี้ขอเรียกย่อว่า ส.ป.ก.”) โดยวัตถุประสงค์การใช้พื้นที่ดังกล่าวมีไว้เพื่อ ดำเนินการปลูกพืชสมุนไพรโดยวิธีธรรมชาติ และใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม” – อ้างอิงจากเอกสารส.ป.ก. 4 - 31 ก., หนังสืออนุญาตให้ใช้ที่ดินเพื่อกิจการสาธารณูปโภคและกิจการอื่นๆ ในเขตปฏิรูปที่ดินที่ 202/2551”(ต่อไปนี้ขอเรียกย่อว่า หนังสืออนุญาตใช้ที่ดินเลขที่202/2551”)
(อ้างอิงตาม “httpwwwccn-sanny.blogspot.com/2011/08/2-3-4-2-2.html”)
เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์หลัก คือ การปลูกพืชสมุนไพรและการสร้างสถานปฏิบัติธรรม ดังกล่าวนั้น ทางมูลนิธิได้มีแผนการดำเนินงานที่ได้ยื่นไว้ต่อส.ป.ก. อันมีระยะเวลาดำเนินการทั้งสิ้น 9 ปี โดยแบ่งระยะเวลาออกเป็น 3 ช่วงช่วงละ3 ปี โดยโครงการดังกล่าวนี้ยังถือเป็นพันธกิจ (Mission) ความรับผิดชอบ (Responsibility) และภาระผูกพัน (Commitment) ของทางมูลนิธิที่ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ได้วางแผนไว้ด้วยในช่วง 3 ปีแรกนับตั้งแต่ปี2548 ถึงปี 2551 จะเห็นได้ว่าชาวสุวรรณโคมคำได้ใช้ความสามัคคี ร่วมมือ ร่วมใจกันดำเนินการเข้าไปฟื้นฟูและใช้ประโยชน์ในพื้นที่อันเป็นที่ตั้งของธรรมสถานสุวรรณาภา (ต่อไปนี้ขอเรียกย่อว่า สุวรรณาภา”) และผลจากความร่วมมือกันของชาวสุวรรณโคมคำนี้เองทำให้ผลงานที่ได้เป็นไปตามกรอบแผนงานที่ได้วางไว้ อันได้แก่ การสร้างสระน้ำ และ การดำเนินการปลูกพืชเกษตรและพืชสมุนไพรโดยมีพระสงฆ์และฆราวาสจำนวนหนึ่งเข้าไปร่วมดำเนินการ นอกจากนั้นแล้ว ในช่วงการเริ่มต้นบุกเบิกดังกล่าวนั้นยังมีสาธารณูปโภคพื้นฐานบางส่วนได้ถูกสร้างขึ้นด้วย ได้แก่ ศาลาหลังเล็ก เรือนพักสงฆ์ และเรือนพักชายดังจะเห็นได้ว่าผลงานที่ทำได้ในรูปธรรมดังกล่าวนั้นถือเป็นที่ยอมรับได้เป็นอย่างดีทั้งในมุมมองของชาวสุวรรณโคมคำเองรวมถึงมุมมองของบุคคลภายนอกด้วย ดังจะเห็นได้จาก ในปี 2551 หน่วยงานส.ป.ก.ได้ออกหนังสืออนุญาตใช้ที่ดินเลขที่202/2551ดังกล่าวนั่นเอง
ต่อมาในวาระที่สอง นับตั้งแต่ปี 2552ถึงปี 2554 โดยในปัจจุบันก็ยังอยู่ในช่วงปีที่ 3 ของวาระดังกล่าวนี้ด้วย ซึ่งในระหว่างกาลนี้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นในระหว่างชาวสุวรรณโคมคำ โดยมีประเด็นที่สำคัญ 2 ประเด็น ได้แก่
1.การปลดพระอาจารย์ออกจากตำแหน่งประธานมูลนิธิและการอ้างว่าเข้ามารักษาผลประโยชน์ของมูลนิธิ โดยมีชนวนเหตุมาจากเรื่องราวและกระแสข่าวที่เป็นเท็จที่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เกิดภาพแง่ลบต่อพระอาจารย์เพื่อให้ความศรัทธาของมวลชนที่มีต่อพระอาจารย์เกิดการสั่นคลอน ลดลง หรือจนกระทั่งหมดสิ้นไป ตัวอย่างของกระแสข่าว เช่น การอ้างความเป็นปาราชิกอันเป็นเท็จ หรือการอ้างว่างบประมาณรวมถึงทรัพยากรที่นำมาใช้ในการบุกเบิก ก่อสร้าง และบำรุงรักษาสุวรรณาภานั้นสูงเกินกว่าที่ควร เป็นต้น
(อ้างอิงตาม“www.gotoknow.org/blog/suwankomcome/216272?locale=th&page=1”)
เหตุที่กล่าวว่าความปาราชิกนั้นเป็นเท็จเนื่องมาจากได้มีการยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษรแล้วจากบุคคลที่สามโดยผ่านกระบวนการของศาลแล้วนั่นเอง
ส่วนเรื่องงบประมาณที่ใช้อันสูงเกินกว่าที่ควรนั้นอาจจะสรุปแต่เพียงข้อมูลหรือตัวเลขที่ได้ถูกใช้ไปกับทรัพยากรต่างๆ นั้นคงไม่เพียงพอ เพราะควรนำผลลัพธ์ที่ได้จากการใช้ทรัพยากรมาเปรียบเทียบควบคู่ไปด้วย เพราะการที่จะบุกเบิก และพลิกฟื้นพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมมาเป็นพื้นที่เกษตรเพื่อปลูกพืชและพืชสมุนไพร รวมถึงจัดให้มีสิ่งก่อสร้างและสาธารณูปโภคพื้นฐานในสุวรรณาภานั้น ก็น่าที่จะใช้งบประมาณและทรัพยากรไม่น้อยเลยทีเดียว ทั้งนี้งบประมาณอีกส่วนหนึ่งก็ยังต้องถูกนำมาใช้ร่วมกันระหว่างสุวรรณาภาในพิษณุโลกและมูลนิธิในกรุงเทพอีกด้วย
ณ ขณะนี้มูลนิธิในตอนนี้ได้ออกนโยบายการบริหาร 2554 โดยมีเนื้อหาว่า ใช้กำลังคนให้น้อย ใช้ทรัพยากรให้น้อย กินน้อย นอนน้อย พูดน้อย มุ่งปฏิบัติ กำจัดกิเลส ใช้ความรู้ให้น้อย ใช้สติปัญญาให้มาก ทำตัวสมถะเรียบง่าย อยู่กับธรรมชาติ ไม่ยึดมั่นถือมั่น ปล่อยวางทุกอย่าง
(อ้างอิงตาม “www.komcome.com/webboard/detail.php?pw_webboard_id=21”)
ถ้าจากมุมมองของนโยบายการบริหารของปี 2554 นี้งบประมาณที่ใช้ไปกับสุวรรณาภาและมูลนิธิภายใต้การนำของพระอาจารย์ก็คงถือได้ว่าได้ใช้ไปอย่างไม่เหมาะสมนัก
แต่ในขณะเดียวกันนโยบายการบริหารของปี 2554 นี้ ถ้าได้มีการนำมาปรับใช้จริงอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนอาจเป็นการไม่เหมาะสมนัก เนื่องจากมีความเสี่ยงที่พันธสัญญาที่ทางมูลนิธิได้ให้ไว้ต่อส.ป.ก.นั้นอาจจะไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของแผนงานที่ได้ให้สัตยาบรรณไว้
2.ผลงานและความคืบหน้าของสุวรรณาภา โดยคณะทำงานของมูลนิธิชุดใหม่ในปัจจุบันของหลังจากการปลดพระอาจารย์ในช่วงปี 2554 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนกันยายนที่ผ่านมานี้จะเห็นได้ว่าข้อมูลและภาพถ่ายของสุวรรณาภา ได้ถูกนำมาเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ตจากสองฝ่าย โดยฝ่ายหนึ่งคือ มูลนิธิ และอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งก็คือ ชมรมศิษย์สุวรรณโคมคำ (ต่อไปนี้ขอเรียกย่อว่า ชมรม”) โดยภาพที่ออกมาเห็นจะเห็นได้ว่า สุวรรณาภาที่ทางมูลนิธิได้นำมาเสนอนั้นอยู่ในสภาพที่สวยงาม เรียบร้อย ในขณะที่ภาพสุวรรณาภาที่ทางชมรมได้นำมาเสนอนั้นกลับดูขาดการดูแลรักษา รกร้าง ไม่เป็นระเบียบ เต็มไปด้วยหญ้าสูงขึ้นมาแซมกับพื้นที่เพาะปลูกและสิ่งก่อสร้างโดยภาพที่ทางชมรมได้นำเสนอนั้นได้ถูกบันทึกไว้ก่อนที่สุวรรณาภาจะถูกปัดกวาดเช็ดถู และต่อมาได้มีการกำจัดหญ้าโดยโดยใช้สารเคมี และเผาทำลาย ดังจะเห็นได้จากการที่ต้นหญ้ามีสีเหลืองจากฤทธิ์สารเคมี และเหลือแต่ตอตะโกในท้ายสุด
ผลงานนี้ได้สะท้อนให้เห็นว่าการกระทำดังกล่าวได้ขัดแย้งต่อทั้งวัตถุประสงค์และขัดแย้งต่อแผนงานที่ได้วางกรอบไว้ต่อส.ป.ก. ทั้งนี้โดยตามวัตถุประสงค์การใช้พื้นที่ดังกล่าวมีไว้เพื่อ ดำเนินการปลูกพืชสมุนไพรโดยวิธีธรรมชาติ และใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม
กรณีที่ทางได้ใช้ทั้งสารเคมีและการเผาหญ้าถือได้ว่าไม่ได้ดำเนินการปลูกพืชสมุนไพรโดยวิธีธรรมชาติ หรือไม่ได้ดำเนินการให้ถือว่าเป็นเกษตรอินทรีย์ ตลอดจนการเผาหญ้าถือได้ว่าเป็นการทำลายหน้าดินอันอุดมไปด้วยอาหารของพืช ซึ่งในเรื่องนี้แม้แต่เด็กนักเรียนในชั้นประถมศึกษาเองก็ได้รับการถ่ายทอดความรู้และปลูกฝังมานาน ส่วนกระบือหนึ่งตัวที่ถูกเลี้ยงในสุวรรณาภานั้นไม่ได้มีวัตถุประสงค์ไว้เพื่อหน้าที่กำจัดหญ้าที่ขึ้นสูงและรกร้าง แต่มีไว้เพื่อลากจูงท่อนไม้ที่ถูกลักลอบตัดอย่างผิดกฎหมายในบริเวณพื้นที่ป่าใกล้เคียงกับสุวรรณาภานั่นเอง ส่วนถ้ามองในเชิงประสิทธิภาพและประสิทธิผลการนำกระบือเพียงตัวเดียวมาดูแลพื้นที่รกร้างเกือบ 50 ไร่นี้ก็ไม่เหมาะสมนักเช่นกัน
ส่วนกรณีที่สุวรรณาภาดังกล่าวไม่ได้ถูกใช้เป็นปฏิบัติธรรม จะเห็นได้จากกิจกรรมต่างๆ ของมูลนิธิในช่วงระยะหลังมานี้มิได้มีการจัดกิจกรรมให้ผู้สนใจเข้าไปศึกษาศีลธรรมและจริยธรรมแต่อย่างใด มีเพียงแต่พระสงฆ์เพียงหนึ่งรูปและกระบืออีกหนึ่งตัวที่อาศัยอยู่และดูแลสุวรรณาภา ทั้งนี้การที่พระสงฆ์มิได้ศึกษาในพระธรรม หรือแม้กระทั่งฝึกปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ตลอดจนมิได้ปฏิบัติกิจสงฆ์อันสมควร สุวรรณาภาจึงอาจถือได้ว่าใช้เป็นแหล่งปฏิบัติธรรม แต่ในทางตรงข้ามสุวรรณาภานี้กลับใช้เป็นแหล่งพักไม้ผิดกฎหมายอีกด้วย
ที่ผ่านมาเป็นการกล่าวถึงผลงานปัจจุบันของมูลนิธิต่อสุวรรณาภาโดยภาพรวมเทียบตามวัตถุประสงค์ ต่อไปนี้จะเป็นการยกตัวอย่างการเปรียบเทียบผลงานปัจจุบันกับแผนงานในวาระที่ 2

ลำดับขั้นตอนและการดำเนินงาน

2.1 ปลูกพืชให้เต็มโครงการโดยการปลูกพืชเกษตรสมุนไพรให้ครบถ้วน

ผลงานปัจจุบันในวาระที่ 2

- ไม่มีการปลูกพืชเกษตรสมุนไพรเพิ่มเติมให้ครบถ้วน

- ไม่ได้มีการบำรุงรักษาพืชที่เคยปลูกไว้

- ไม่ได้ใช้วิธีธรรมชาติหรือเกษตรอินทรีย์
2.2 สร้างศาลาอเนกประสงค์และที่พักรองรับการเผยแพร่ความรู้ด้านการเกษตร สร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานให้ครบสมบูรณ์ อันได้แก่ สร้างระบบน้ำ ศาลาเอนกประสงค์ ศาลาสวัสดิการและโรงครัว เรือนพักสงฆ์ เรือนพักชาย และเรือนพักหญิง

ผลงานปัจจุบันในวาระที่ 2

- ระบบน้ำที่มีอยู่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ และส่วนที่สร้างเสร็จไปแล้วไม่ได้มีการดูแลรักษา

- ยังไม่มีการสร้างศาลาเอนกประสงค์
2.3 รักษาสิ่งแวดล้อม โดยปลูกพืชที่ให้พลังงานทดแทนให้ครบถ้วน และส่งเสริมศีลธรรมจริยธรรมแก่ผู้สนใจเข้ามาศึกษา

ผลงานปัจจุบันในวาระที่ 2

- ไม่มีการส่งเสริมการรักษาสิ่งแวดล้อม ศีลธรรมจริยธรรมแก่ผู้สนใจเข้ามาศึกษา

- มีกิจกรรมที่ผิดต่อธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม รวมถึงศีลธรรมและจริยธรรม

โดยสรุปแล้วถ้าจะเปรียบเทียบผลงานที่แท้จริงของช่วงเวลาที่ผ่านมาที่อันมีพระอาจารย์เป็นผู้นำนั้นจะเห็นได้ว่าโครงการดังกล่าวเป็นไปตามแผนโครงการที่ได้ยื่นเสนอต่อทางสปก. ซึ่งการดำเนินการตามโครงการนั้นมีความจำเป็นที่จะต้องใช้ทรัพยากรในด้านเวลา บุคลาการ และทุนทรัพย์ไม่น้อยทีเดียว โดยมิใช่เพียงแต่พระอาจารย์เท่านั้นที่ได้เสียสละ แต่พวกเราชาวสุวรรณโคมคำทุกคนต่างก็มีส่วนช่วยกันคนละไม้คนละมือ คนละนิดคนละหน่อย จึงถือได้ว่าสุวรรณาภานั้นเป็นของชาวสุวรรณโคมคำโดยแท้หาใช่เป็นของใครคนใดคนหนึ่งไม่ ดังนั้น ทุกคนควรต่างต้องร่วมมือกันต่อไปในการดำรงและรักษาไว้สืบไป
นอกจากนั้นส่วนหนึ่งจึงยอมรับไม่ได้ที่มีข้อมูลและข่าวสารที่โกหก ปกปิดและบิดเบือนชาวสุวรรณโคมคำด้วยกันเอง ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วสุวรรณาภาที่ทางมูลนิธิดูแลอยู่ในปัจจุบันถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมให้การกระทำที่ผิดทั้งต่อกฎหมาย ศีลธรรม และธรรมชาติตลอดจนสิ่งแวดล้อมอีกด้วย สิ่งเหล่านี้ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สุวรรณาภาของพวกเราชาวสุวรรณโคมคำที่ได้เคยร่วมแรงร่วมใจกันอาจจะต้องถูกยึดคืนกลับไปทันทีถ้าทางส.ป.ก.จะเข้ามาตรวจสอบ ดังนั้น ขอให้ชาวสุวรรณโคมคำทั้งหลายได้ตื่นตัว เร่งมือกัน ช่วยเหลือ แก้ไขกันด้วยเถิด ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป และสุดท้ายที่อยากฝากไว้คือ ข้อมูลและข่าวสารที่โกหก ปกปิดและบิดเบือนชาวสุวรรณโคมคำด้วยกันเองนั้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น